โดย กรุงเทพธุรกิจ วัน พฤหัสบดี ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 00:00 น. อดีตผู้บริหาร บางจาก แฉนักการเมือง - ขรก. ปั่นหุ้นผูกขาด ชี้คนไทยทุกข์2ต่อจากปั่นราคาน้ำมันดิบแพงลิ่ว เผยก่อนขายรัฐวิสาหกิจปี45 กำไรโรงกลั่นรวม2หมื่นล้าน หลังแปรูปเพิ่ม1.7แสนล้าน นายโสภณ สุภาพงษ์ นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และ นายโสภณ สุภาพงษ์ อดีตผู้บริหารบริษัท บางจาก จำกัด(มหาชน) และเป็นอดีต ส.ว. ร่วมเสวนาในรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ ภาคพิเศษ บนเวที พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ เชิงสะพานมัฆวาน มีนายสำราญ รอดเพชร และนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที เป็นผู้ดำเนินรายการ นายโสภณ กล่าวถึงปัญหาราคาน้ำมันแพงว่า น้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายของทุกคนในประเทศ ค่าน้ำมันมันอยู่ในต้นทุนทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ทั้งค่ารถ ค่านม ค่าส่วยรถเมล์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะสังเกตเมื่อสองวันที่ผ่านมา รัฐบาลออกแถลงการณ์ว่าจะต้องมีนโยบายอะไรๆ ซึ่งก็เหมือนกับรัฐบาลต่างๆ แล้วก็เป็นนโยบายแก้ไขที่เหมือนสมัยตนเป็นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็ลอกกันมาแล้วมันก็ไม่ค่อยได้ผล นายโสภณ กล่าวว่าแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดให้ตรง เหมือนกันทุกรัฐบาลคือ ตอนนี้น้ำมันดิบซึ่งมีคุณภาพกลุ่มดีที่สุดในโลกที่อเมริกา ราคา 137 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลแล้ว เพราะฉะนั้นราคาในประเทศก็ต้องขึ้นไปอย่างนี้ ทำไมไม่บอกประชาชนตรงๆ น้ำมันที่ราคา 137เหรียญฯ นี้ เท่ากับ 27 บาทต่อลิตร คือน้ำมันเวลาที่เราพูดว่า 27เหรียญต่อลิตร เราเอา 20สตางค์ต่อลิตร คูณเข้าไปได้เลย จะรู้เลยว่าที่พูดกันไม่รู้เรื่องนั้น จริงๆ มันเท่าไหร่ ก็บอกไปเลยว่าน้ำมันดิบที่สหรัฐที่แพงที่สุดในโลกนั้น 27เหรียญต่อลิตร คำถามก็คือ แล้วทำไมเราต้องซื้อน้ำมันในประเทศถึง 40 บาทต่อลิตร ทำไมมันต่างกันมากขนาดนั้น ส่วนต่างมันเป็นมายังไง มันถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ อันนี้ทำให้ประชาชนเข้าใจแล้วเป็นธรรม นายโสภณ กล่าวอีกว่าแล้วธรรมชาติของราคาน้ำมันในต่างประเทศขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง จะได้นั่งเตรียมตัวกัน ไม่ต้องมาหลอกกัน ไม่ต้องมานั่งหวังลมๆ แล้งๆ แล้ว สำคัญว่าในประเทศจะจัดการให้เป็นธรรมอย่างไร เรื่องเหล่านี้ควรให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อควบคุมความเป็นธรรมให้ได้ เขาจะพูดให้สับสนวุ่นวาย แต่เมื่อไม่ว่าจะยักย้าย ถ่ายเทหรือรวมอะไรแล้วเนี่ย ก็พบว่าในปีแล้วโรงกลั่นน้ำมันในประเทศทั้งหมด ซึ่งมี 7 โรง ปตท.มีโรงแยกแก๊สอีกโรง รวมเป็น 8 โรง ใน 5 โรงที่เป็นของเอกชน ปตท.เป็นเจ้าของ อีก 2 โรงของเอกชน รวมทั้ง 7 โรงกลั่นปีที่แล้วมีกำไรหลังหักภาษีแล้วรวมกัน 169,438 ล้านบาท "ต้องเรียนว่าใครที่จะมาพูดเท็จในทีวีหลังจากที่ผมพูด หรือมาพูดเท็จอย่างเมื่อคืนนี้ ถ้าเป็นผู้บริหารบริษัทอาจจะผิดกฎหมายเลยก็ได้ เพราะตัวเลขรายงานกำไรเป็นแสนแต่มาบอกว่าขาดทุนกำไร ที่มีนี้เป็นตัวเลขกำไรที่ทุกบริษัทต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ กับกระทรวงพาณิชย์ตามกฎหมาย แล้วจะมาบอกว่ารายงานที่แจ้งไม่จริง เป็นไปไม่ ได้เพราะผูกพันตามกฎหมาย แล้วถามว่ากำไรเกือบ 1.7 แสนล้านบาทเนี่ย มันผิดปกติหรือไม่" นายโสภณ ระบุ จากนั้น นายยุทธิยง ได้อ่านตัวเลขกำไรจากน้ำมันเมื่อปีที่ผ่านมาตามรายงานที่นายโสภณ ได้รับมาระบุว่า บริษัทโรงกลั่น ปตท.หรือบริษัทสตาร์ กำไร 12,236 ล้านบาท บริษัทระยองคือโรงกลั่นบริษัทลูกของปตท. 18,018 ล้านบาท บริษัทไทยออยล์ 19,174 ล้านบาท บริษัทบางจาก 1,764 ล้านบาท บริษัทไออาร์พีซี 12,986 ล้านบาท บริษัท เอสโซ่ 7,053 ล้านบาท บริษัทอาร์พีซี 101 ล้านบาท บริษัทปตท.รวมโรงแยกก๊าซแอลพีจี 97,804 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จธุรกิจน้ำมันในประเทศนี้ กำไรปีที่แล้ว 169,438 ล้านบาท นายโสภณ กล่าวเสริมว่า นั่นเป็นเพียงข้อมูล แต่ถ้าเราดูอีกตัวคือตัวเลขกำไรรวมของทุกบริษัทเหล่านี้ย้อนหลังไปเมื่อปี 2544 ก่อนมีการเอารัฐวิสาหกิจไปขาย จะเห็นว่าตัวเลขกำไรรวม 7-8 โรงกลั่นนั้นกำไรเพียง 20,330 ล้านบาท และปี2545 จำนวน 22,099 ล้านบาท ซึ่งยอดสองปีนั้นถือเป็นกำไรสูงสุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ย้อนไป 40-50 ปีก็ไม่เคยเท่านี้ "แต่หลังจากมีการเอารัฐวิสาหกิจไปขาย หลังจากมีการเล่นหุ้น คนขายก็ไปซื้อหุ้นที่ตัวเองเอาไปขายด้วย ก็มีข้าราชการผู้ใหญ่รวมทั้งนักการเมืองก็เกิดการผูกขาด ในต่างประเทศนี่การจะเป็นเจ้าของโรงกลั่นหลายๆ โรงเขาไม่ให้นะ เพราะเขาถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน จะเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานฯ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมืองที่อยู่นั้น ส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นกรรมการ ประธานและถือหุ้นบริษัทโรงกลั่นเอกชน แล้วตัวเองก็ตั้งราคา คุมสูตรราคา บางคนก็ใช้ภรรยาถือ ถ้าไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะพบ" นายโสภณ กล่าวต่อว่าหลังจากทำอย่างนี้ ในปี 2545 กำไรระดับสองหมื่นล้านก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 5 หมื่นกว่าล้านบาท ปี 2547 ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นแสนสองหมื่นล้านบาท ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2550 กำไร 169,438 ล้านบาท ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี45 พอปี46 ก็มีการกำหนดสูตรราคาน้ำมันและให้เงินชดเชยโรงกลั่นจนประชาชนเป็นหนี้อยู่แสนล้าน โรงกลั่นก็กำไรมหาศาล "เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งราคา ทำสิ่งพวกนี้แล้วเป็นประธานกรรมการ เล่นหุ้นแล้วมาตั้งราคาให้ประชาชนเราเรียกประโยชน์ทับซ้อน จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 9 เท่า หรือประมาณ 900% ขณะที่ถ้าดูยอดขายรวมจะเพิ่ม 7% ความหมายคือมันผิดปกติมาก บางโรงกลั่นกำไรเพิ่ม 40 เท่า มีข้าราชการผู้ใหญ่ ที่หุ้นเขาราคา 75 บาท แต่ตัวเองถือได้ 10บาท ยิ่งตั้งราคาให้มีกำไรเพิ่มขึ้น หุ้นตัวเองก็ได้กำไรด้วย" นายโสภณ ในเรื่องน้ำมัน ก็มีเรื่องน้ำมันดิบในต่างประเทศแล้วก็มีการปั่นราคา กินกำไร แล้วเมื่อเอาเข้ามาในประเทศต่างๆ ก็แย่แล้ว แพงมหาศาลเลย แต่ประเทศ ไทยทุกข์ยากกว่านั้นเพราะว่า ผู้ที่ดูแลน้ำมันในประเทศกลับร่วมกันหากินซ้ำไปอีก ในระหว่างที่วุ่นวายเดือดร้อนแทนที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ปรากฏว่าสุขอย่างเดียว กำไรขึ้น 7 หมื่นล้านเป็นแสนล้านอย่างนี้ มันไม่มีใครดูแลหรือไง ก็พบว่าคนดูแลได้ประโยชน์จากราคา ไม่ได้ประโยชน์จากราคาต่ำ ได้ประโยชน์จากราคาสูง สมัยก่อนที่จะมีทุนสามานย์ ถ้าใครจะหากินกับรัฐวิสาหกิจฯ ก็เพียงขอเงินไปตีกอล์ฟเพราะไม่มีหุ้น พอมีหุ้น แทนที่จะไปคุมรัฐวิสาหกิจที่ถูกขายหุ้นไปเป็นบริษัท ก็ ถูกบริษัทคุมและสั่ง วิธีสั่งก็คือผลประโยชน์ร่วม อดีตผู้บริหารบริษัทบางจาก อธิบายด้วยว่า ถ้าเป็นรายเล็กรายน้อยเจ้าของปั๊มแย่ เพราะโรงกลั่นตั้งราคาสูงให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ จะได้ร้องบีบรัฐบาล บีบกระแสข่าว แต่ที่ โรงกลั่นกำไร แต่มาทำภาพค่าการตลาดแย่แล้ว แล้วขึ้นกำไรก็เป็นของตัวเองทั้งสองขา เหมือนราคาอาหารในครัวต้นทุน10 บาท ตั้งราคาหน้าร้าน12บาท แล้วในครัวก็บอก ขาดทุนสองบาท ทั้งที่จริงๆหน้าร้านแล้วในครัวก็เจ้าของเดียวกัน นายโสภณ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของราคาน้ำมันตอนนี้คือ เราต้องการคนสุจริตมาช่วยดูให้เรา เพราะมันอยู่ในตลาดเก็งกำไร ไม่เอาประโยชน์ทับซ้อนบนความทุกข์ยากของประชาชน ดูอย่างเม็กซิโก เวเนซูเอล่า ถึงได้ยึดคืนกิจการน้ำมันหมด แล้วหนำซ้ำยังไม่ขายให้เอสโซ่ด้วย นายโสภณ กล่าวต่อว่า เมื่อน้ำมันดิบเข้ามาในเมืองไทย มันก็มีโรงกลั่น ทำตลาด โรงกลั่นก็มีการกำหนดสูตรราคาที่จะกำหนดยังไงก็ได้ เพราะเราซื้อเป็นน้ำมันดิบ ไม่ได้ซื้อสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ จะตั้งยังไงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอิงราคาจากสิงคโปร์ ทุกวันนี้เราสามารถกลั่นน้ำมันได้มากเกินกว่าความต้องการภายในประเทศ แถมยังส่งไปขายที่ สิงคโปร์ด้วย แต่วันนี้เราตั้งราคาสูงกว่าในสิงคโปร์ถึง 4เหรียญ หมายถึงส่งไปขายถูกกว่าขายในประเทศเสียด้วยซ้ำ "วิธีแก้ปัญหาราคาน้ำมันขณะนี้ คิดว่าเราควรใช้กลไกทำราคาได้ ถ้าคนคุมกลไกราคาสุจริต" อดีตผู้บริหารบางจากกล่าว และเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อปี 2546 รัฐบาลได้ตั้งสูตรราคาน้ำมัน แล้วก็ตั้งกองทุนน้ำมันกู้เงินมา แล้วก็สงเงินชดเชยให้บริษัทโรงกลั่น จนกองทุนเป็นหนี้อยู่แสนล้าน เงินประชาชนทั้งนั้นนะ แล้วจากนั้นก็มาเก็บเงินประชาชนคืน ทำมา อย่างนี้ กิจการน้ำมันก็ร่ำรวยมหาศาลจากสูตร