หลอดไฟหน้ารถยนต์ ( เพิ่มบทความเกี่ยวกับ xenon )

การสนทนาใน 'Racing Forum (Cars Forum)' เริ่มโดย City_Ferio, 31 กรกฎาคม 2008

< Previous Thread | Next Thread >
  1. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    จากการที่ผมได้ศึกษาหลอดไฟ xenon ที่ขายตามเว็ปต่าง ๆ บ้างก็บอกว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี พอเจอฝนแล้วก็มองไม่เห็นทาง

    จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่า มีหลอดฮาโลเจนที่มีคุณภาพสูง เช่น PHILIPS , RAYBRIG , PIAA และ HKS ที่ขายตามร้านประดับยนต์ชั้นนำทั่วไป ซึ่งจะมีค่าแสงประมาณ 4000 - 5000 K แต่ราคาของหลอดฮาโลเจนพวกนี้ก็มีราคาตั้งแต่ 1000 - 2000 ขึ้นไป ( เพิ่มนิดเดียวได้หลอด xenon แล้ว )


    ผมเลยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกอย่างใดดี ระหว่างหลอด xenon กับหลอดฮาโลเจนคุณภาพสูง ?

    แล้วอายุการใช้งานของไฟทั้งสองประเภท เป็นอย่างไรบ้างครับ ?

    ขอบคุณครับ :)
     
    แก้ไขล่าสุด: 2 สิงหาคม 2008
    ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ถูกใจสิ่งนี้
  2. te_uan

    te_uan Member VIP

    708
    25
    18
    ซีนอน4300เคน่าใช้ครับอั๋น........สว่างเห็นชัดด้วย:D
    :
     
    City_Ferio ถูกใจสิ่งนี้
  3. Takata

    Takata New Member Member

    1,728
    56
    0
    ถ้าไม่เกิน 8000k ผมว่าซีนอนดีกว่านะครับ
     
  4. P@E

    P@E New Member Member

    561
    15
    0
    ยังงัยก็ ซีนอนดีกว่าคับ
     
  5. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    ขอบคุณทุกท่านมากคร๊าบบบบ
     
  6. chai import

    chai import New Member VIP

    2,241
    167
    0
    ซีนอล ใช้ 6000-8000 k ก็พอ
     
    City_Ferio ถูกใจสิ่งนี้
  7. GaB

    GaB New Member VIP

    1,643
    70
    0
    ค่า K อย่าให้เกิน 8000 ครับอั๋น

    แต่ค่า K ที่ดีและชัดเจนที่สุดคือ 4300K (ค่า K เท่าๆกับ Xenon เดิมๆติดรถ) แต่อาจจะไม่สวยเท่าไหร่

    ยังไงโทรมาหาเราดิๆ
     
  8. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    ได้เลย เดี๋ยวหลังไมค์ ฮิฮิ

    ขอบคุณทุกท่านคร๊าบบบบบ :)
     
  9. ขอถามพี่ที่ใช้ซีนอนอย่างนึงครับ

    มันไม่มีไฟสูงเหรอครับ(คือเมื่อเปิดไฟสูงจะเป็นไฟธรรมดาไม่สว่าง)

    มันมีแบบเปิดไฟสูงแล้วสว่างๆมีมั๊ยครับ
     
  10. chai import

    chai import New Member VIP

    2,241
    167
    0

    ของคุณเป็นขั่ว h4 ใช่ป่าวครับ ถ้าใช่ ก็ยังมีหวังครับเพราะ
    หลอด สไลน์มีออกมาแล้ว สำหรับ ขั่ว h 4 สูง ซีนอล ต่ำก็ซันอล แต่ราคาจะสูงหน่อยครับ
     
  11. ` e@|G|Le* `

    ` e@|G|Le* ` New Member Member

    268
    9
    0
    งั้นขอถามบ้างนะครับ พอดีสงสัยๆ

    แล้ว ทำไมถึงต้องต่ำกว่า 8000K อ่ะครับ ผมจะเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน เห็น 10000K กับ 12000K สีสวยดี
     
    Ecstasy ถูกใจสิ่งนี้

  12. เกิน10000kขึ้นไปสีสวยครับ

    แต่ฝนตกหนักก็ต้องเพ่งเล็งกันยกใหญ่อ่าครับ
    :D
     
  13. ` e@|G|Le* `

    ` e@|G|Le* ` New Member Member

    268
    9
    0
    อ๋อ เข้าใจละครับ ขอบคุณครับ สงสัยต้องเก็บไฟตัดหมอกเอาไว้เปิดตอนฝนตก แฮะๆ
     


  14. ขอบคุณครับ

    แล้วพอจะทราบราคามั๊ยครับ

     
  15. Piccolo

    Piccolo New Member Member

    1,673
    65
    0
  16. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    ผมเห็นชุด xenon H4 Slide ถูกสุดตอนนี้น่าจะประมาณ 3500 ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะมีถูกกว่านี้อีกรึเปล่าครับ

    แต่ถ้าหลอดอย่างเดียวน่าจะ 1500 ขึ้นนะครับ
     
  17. GaB

    GaB New Member VIP

    1,643
    70
    0
    มีของบางยี่ห้อที่จะมีหลอดฮาโลเจนสำหรับไฟสูงติดมาให้ด้วยครับ โดยมันจะติดอยู่กับตัวหลอดซีนอนเลย อย่างของผมนะครับ Civic EG หลอดฮาโลเจนเดิมๆมันจะเป็นหลอด 2 ไส้ ดิฟแล้วไฟใหญ่ดับ (หมายถึงตอนกลางคืน) แต่พอเป็นซีนอนหลอดมันไม่สามารถทำได้ (อันนี้พูดถึงในกรณีไม่ใช่หลอดสไลด์นะครับ) บางยี่ห้อเลยติดหลอดฮาโลเจนเล็กๆมาให้ด้วย และพอดิฟไฟ ถ้าให้มันเป็นไฟสูงค้างมันจะตัดซีนอนและเปลี่ยนเป็นฮาโลเจนแทน ถ้าดิฟแบบรัวๆ (ไม่ค้าง) ฮาโลเจนมันจะติดพร้อมซีนอนด้วย แต่ความสว่างของฮาโลเจนมันสู้ซีนอนไม่ได้ ทำให้บางทีดิฟไฟแล้วอาจจะไม่ชัดเจน แต่ตอนกลางวัน ไอ้หลอดฮาโลเจนเล็กมันก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ อาจจะมีปัญหาบ้างเหมือนกันเวลาดิฟขอทางอะไรทำนองนี้ครับ (เวลาตอนกลางวัน ไม่ได้เปิดซีนอนเวลาดิฟไฟจะดิฟผ่านหลอดฮาโลเจนเล็กอย่างเดียว ซีนอนไม่ได้ติดด้วยนะครับ)

    แต่สำหรับรถบางคันที่แยกไฟสูงออกจากไฟใหญ่ไปเลยก็ไม่น่ามีปัญหาครับ แต่สำหรับรถอย่างกรณีของผมเวลาจะดิฟไฟก็อาจจะรำคาญหน่อย และยิ่งถ้าตอนกลางคืนดิฟไฟรัวๆๆๆ ซีนอนติดๆดับๆล่ะก็ มีหวังบัลลาสท์พังเร็วแน่นอนครับ หรือเปิดๆปิดๆแบบเร็วๆ ถี่ๆ บัลลาสท์ก็พังเร็วเหมือนกัน

    ส่วนหลอดสไลด์ ความเห็นส่วนตัวผมคือมันยังไม่น่าจะ work โดยเฉพาะตอนกลางวัน กว่าบัลลาสท์จะจุดให้ซีนอนติดมันจะไม่ทันเอาน่ะครับ ลองสังเกตพวกไฟซีนอน เวลาเปิดมันจะค่อยๆติด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่บัลลาสท์กำลังจุดให้ซีนอนทำงาน และใช้เวลาเกือบๆนาทีกว่าซีนอนจะสว่างเต็มที่ (ซึ่งค่า K จริงๆของซีนอนต้องดูตอนที่บัลลาสท์จุดไฟเต็มที่แล้ว หมายความว่าต้องรอซักพักนึง แล้วค่อยดูสีของไฟตอนนั้น) แต่ตอนกลางคืน หลอดสไลด์น่าจะดี เพราะซีนอนมันสว่างเต็มที่อยู่แล้ว และเท่าที่ผมเข้าใจคือ หลอดสไลด์มันมีกลไกในการดึงให้ตัวจานฉายที่อยู่ใต้หลอด เข้าหรือออกอะไรประมาณนั้น เพื่อให้แสงหักเห แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นยังไงแล้วนะครับ อันนี้คือเท่าที่ผมรู้ช่วงปีที่แล้ว และเรื่องข้อมูลหลอดสไลด์ผิดถูกยังไงขออภัยด้วย

    ส่วนที่ถามว่าทำไมมากกว่า 8000K แล้วจะสะท้อนหมอกหรือฝน เพราะว่าค่า K ที่ต่ำกว่า 8000K มันจะยังพอมีแสงสีเหลืองหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งค่า K ที่ให้ทั้งความสว่าง และเหมาะสมสำหรับใช้ในการมองเห็นได้ดีที่สุดคือประมาณ 4300K เพราะค่า K เท่านี้จะค่อนข้างมีแสงที่ออกมาเป็นสีเหลืองมากกว่า และแสงสีเหลืองเป็นสีที่ตาคนเรามองเห็นชัดเจนที่สุด และมีคุณสมบัติในการตัดหมอกหรือใช้งานขณะฝนตกได้ดีกว่าแสงสีขาว สังเกตรถญี่ปุ่นแท้ๆส่วนใหญ่ สปอตไลท์จะเป็นสีเหลืองทั้งนั้น

    ยังไงก็ต้องลองตัดสินใจดูครับ ตอนนี้แข่งขันกันหลายเจ้ามาก พยายามโทรสอบถามให้เยอะเจ้ามากที่สุด เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆเจ้า ดูความน่าเชื่อถือ การให้ข้อมูล การรับประกันให้ดีๆครับ
     
    City_Ferio ถูกใจสิ่งนี้
  18. Nunazaa

    Nunazaa New Member VIP

    797
    53
    0
    ลื ม อ ะ ไ ร กั น ไ ป ด้ ว ย ป่ า ว ค รั บ

    โ ค ม ไ ฟ ห น้ า ก็ มี ส่ ว น ด้ ว ย น่ ะ . . . . . . . .
     
  19. GaB

    GaB New Member VIP

    1,643
    70
    0
    ใช่ครับ ถ้าโคมไม่ได้ออกแบบมาใส่ซีนอนแล้วเราเอาไปใส่ซีนอน ส่วนใหญ่ความสว่างหรือความชัดเจนที่ออกมาเผลอๆจะสู้หลอดฮาโลเจนเดิมๆไม่ได้ด้วยซ้ำ อันนี้ก็เจอกับตัวเหมือนกัน:sad:
     
  20. ITT_ITT

    ITT_ITT New Member Member

    728
    13
    0
    ความรู้ๆ
     
  21. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    พอดีไปเจอบทความที่น่าสนใจมา เลยขออนุญาตินำมาเผยแพร่นะครับ...

    ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อไฟซีนอน (อ่านว่า ซี-น่อน) หลายสื่อเคยนำเสนอ แต่อาจซับซ้อนจนงง บางคนเข้าใจผิดว่าซีนอนสว่างมากจนแยงตา หรือเป็นของเล่นราคาแพงเพราะถ้าจะติดเพิ่มต้องจ่ายหลายหมื่นบาทอ่านบทความที่ทำความเข้าใจได้ง่ายๆ เกี่ยวกับไฟซีนอน

    ไฟซีนอน ถูกนำมาใช้ในรถอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เริ่มต้นจากรุ่นราคาแพงหลายล้านบาท ก็เริ่มขยับถูกนำมาในรถราคาถูกลง แม้กระทั้งรถปิกอัพบางยี่ห้อก็มีใช้ แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ถือว่ามีใช้ในรถบางรุ่นเท่านั้น ถ้าไม่นับรถปิกอัพก็จะมีแต่รถคันละล้านกว่าบาทขึ้นไปที่มีใช้ไฟซีนอน จึงเหมือนเป็นระบบไฟพิเศษราคาแพง ยากที่จะได้ใช้ แต่ก่อนถ้าจะติดตั้งเพิ่มเติมก็ชุดละเป็นหมื่นบาท หลายคนจึงรู้จักไฟซีนอนเพียงผิวเผิน รู้แต่ว่ามีใช้ในรถราคาแพงและสว่างดี ส่วนการทำงานจริงเป็นอย่างไร หรือติดตั้งเพิ่มได้ไหม จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว

    ++ความแตกต่างจากฮาโลเจน++

    คนในยุคนี้ คุ้นเคยกับหลอดไฟแบบฮาโลเจน หลอดแบบมีไส้ภายในบรรจุก๊าซฮาโลเจน (ไม่ใช่เรียกเพี้ยนๆ แบบบางคนว่า หลอดไฮโดรเจน) ซึ่งแตกต่างแค่รายละเอียดด้านขนาด รูปทรงของฐาน ความสว่าง หรือจำนวนของไส้ โดยมีรหัสเรียก เช่น H1 H2 H3 H4 มีราคาตั้งแต่หลอดละ 50 บาท ไปจนถึงหลอดไฟของแต่ง ราคาหลอดละเป็นพันบาท

    เปรียบเทียบการทำงานแบบง่ายๆ ของหลอดฮาโลเจน ก็คือ หลอดไฟแบบมีไส้ จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ไส้ร้อนเปล่งแสงผ่านก๊าซที่ชื่อ ฮาโลเจนที่บรรจอยูในหลอดรอบตัวไส้ ถ้าหลอดแตกจนก๊าซรั่วหรือไส้ขาดก็เสีย รับไฟ 12 โวลต์ตรงๆ จากระบบปกติของรถ การเปิดให้สว่างก็แค่จ่ายกระแสไฟเข้าไฟแสงจะสว่างขึ้นอย่างฉับไว แบบเดียวกับที่กะพริบไฟสูงหากยังงงให้นึกถึงหลอดไฟที่ใช้ในบ้าน เป็นหลอดกลมๆ ทรงคล้ายน้ำเต้า มีไส้ต่อไฟโดยตรงนั่นเอง แสงของไฟมักจะสว่างแบบอมเหลืองดูโปร่งๆ

    ส่วนหลอดไฟซีนอน ภายในบรรจุก๊าซชื่อ ซีนอน ไม่มีไส้โดยตรงแบบฮาโลเจน ทำงานคล้ายกับหลอดไฟนีออนที่ใช้ในบ้าน ต้องมีตัวแปลงและควบคุมกระแสไฟ เรียกว่า บัลลาร์ด เป็นกล่องคั่นระหว่างสายไฟปกติ ก่อนต่อเข้าตัวหลอด แสงจะออกมานวลๆ

    การเปิดให้หลอดซีนอนสว่าง ตัวบัลลาร์ดจะสร้างกระแสไฟฟ้าระดับ 20,000 กว่าโวลต์ ส่งเข้าไปยังตัวหลอดเพื่อจุดในครั้งแรก และในอีกประมาณ 1-2 วินาที ก็จะลดกระแสไฟฟ้าลงเหลือ 12 โวล์ต (หรือไม่กี่สิบโวลต์) ต่อเนื่องไป

    สรุปง่ายๆ ว่า ระบบไฟซีนอน มีกระแสไฟเป็นหมื่นโวลต์ถูกสร้างขึ้นด้วยกล่องบัลลาร์ดในช่วงสั้นๆ เพื่อจุดหลอดให้สว่างเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะลดไฟลงมาเหลือไม่กี่สิบโวล์ตคงความสว่างไว้ตัวหลอดซีนอน จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที กว่าจะสว่างเต็มที่หลังจากจุดครั้งแรก จึงทำให้ถูกใช้แต่หลอดไฟต่ำ แต่ไม่ใช้กับไฟสูง เพราะสว่างไม่ทัน ถ้ามีการกะพริบไฟหรือเปิดไฟสูงในทันที ไฟซีนอนที่มีทั้งไฟต่ำและสูง จึงไม่ใช่เป็นการแยก 2 หลอดจุดหลอดใหม่ แต่ใช้หลอดเดียวต่อข้าง สว่างตลอด และใช้การเลื่อนตัวหลอดหรือตัวบัง ให้เปลี่ยนเป็นไฟต่ำหรือสูงได้ในหลอดที่สว่างตลอดอยู่หลอดเดียว

    สรุปง่ายๆ ก็คือ ฮาโลเจน คล้ายกับหลอดไฟกลมที่ใช้ในบ้าน ต่อไฟเข้าไปโดยตรงเลย ส่วนซีนอนคล้ายกับหลอดนีออนที่บ้าน ไม่มีไส้ และต้องมีตัวแปลงไฟหรือบัลลาร์ด

    ++แอบอ้างว่าเป็นซีนอน++

    ด้วยความโดดเด่นของไฟซีนอนว่า สว่างมีแสงขาวดีและมีราคาแพง จึงเป็นเหตุให้มีการใช้ชื่อซีนอน ไปเรียกหลอดฮาโลเจนแบบพิเศษหรือหลอดของแต่ง ที่มีความสว่างสูงกว่าปกติ หรือย้อมสีตัวเปลือกหลอดให้มีแสงไม่อมเหลือง เป็นแสงเกือบขาวหรืออมฟ้า แต่ยังไงก็ไม่เหมือนซีนอนแท้ๆ โดยเป็นหลอดฮาโลเจน แต่พยามเรียกว่าเป็นซีนอน นับว่าเมื่อไรเป็นหลอดฮาโลเจนของแต่งที่มีแสงสีขาว หรืออมฟ้าอมม่วง บางทีก็ถูกโมเมเรียกว่าซีนอนเลย ทั้งที่คนที่เรียกยังไม่เข้าใจระบบซีนอนจริงๆ ก็เป็นได้ ถ้าเป็นของราคาถูกยี่ห้อทั่วไปหรือของไต้หวันก็อาจจะมั่วเรียกว่าซีนอนเลย แต่ถ้าเป็นยี่ห้อดัง อาจจะอายหน่อย เรียกเลี่ยงๆ ว่า XENIN LOOKS หรือสารพัดประโยคที่จะหลอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นซีนอน หลายคนจึงเข้าใจผิดว่า หลอดฮาโลเจนของแต่งที่สีขาวหรืออมฟ้า หรือสีแปลกๆ ราคาคู่ละหลายร้อยบาทหรือเป็นพันบาท คือ หลอดซีนอน ทั้งที่ไม่ใช่เลย

    ++จับผิดอย่างไรว่า เป็นซีนอนแท้หรือไม่++

    เมื่อไรที่เห็นหลอดไฟหรือชุดไฟที่อ้างว่าเป็นซีนอนหรือเปล่า ดูโดยใช้หลักการง่ายๆ คือ

    1. ตัวหลอดเป็นทรงที่คุ้นเคยหรือเปล่า มีไส้ให้เห็นชัดเจนหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เป็นหลอดฮาโลเจน ถ้าเป็นซีนอนจะซับซ้อนกว่าและมีช่วงหนึ่งเป็นตัวหลอดบรรจุก๊าซโล่งๆ

    2. ซีนอนต้องมีกล่องบัลลาร์ดแปลงไฟ ขนาดประมาณเท่าฝ่ามือหนาครึ่ง-1 นิ้ว ถ้าต่อหลอดเข้ากับไฟ 12 โวลต์โดยตรง แสดงว่าเป็นฮาโลเจนโดยรวมแล้วสังเกตุที่ระบบได้ว่ามีกล่องบัลลาร์ดหรือเปล่า ถ้าถ้าหลอดต่อไฟตรงล่ะก็ไม่ใช่ซีนอนแน่ๆ

    ++XENON สังคมพิพากษาว่าแยงตา ตัวร้ายบนถนน++

    หลายคนเชื่อว่า เมื่อไรเป็นซีนอนแท้ แสงต้องแรงสว่างจ้า และแยงตา รบกวนผู้อื่นอาจเป็นเพราะมีรถบางรุ่นที่ผลิตออกมาจากสายการผลิตแต่ผู้ขับขาดการปรับตั้งที่ดี หรือตัวโคมสะท้อนมีการควบคุมการฉายที่ไม่ดีบางรุ่นเป็นปิกอัพ พอบรรทุกหนักแล้วหน้าเชิด ไฟยิ่งสูงขึ้นไปอีกผู้ขับยิ่งชอบเพราะมองได้ไกล โดยมองข้ามไปว่าจะไปแยงตาคนอื่นไหมรวมถึงรถที่เปลี่ยนไฟฮาโลเจนที่มีความสว่างสูงๆ สีขาว อมฟ้า อมม่วง ใส่ในจานฉายเดิม โดยอ้างว่าเป็นหลอดซีนอน อีกทั้งยังไม่ปรับตั้งมุมฉายให้กดลง ก็เลยแยงตาคนอื่น

    คนทั่วไปเมื่อได้ยินคำว่าซีนอน ก็คิดไปก่อนเลยว่า ในเมื่อไฟซีนอนมีราคาแพงและมีความพิเศษในตัวเอง ไม่งั้นจะใส่ในรถราคาแพงหรือรุ่นใหม่ๆ ให้เสียเวลาพัฒนาไปทำไม หลายคนคิดว่า ซีนอนจะต้องแยงสายตาคนเสมอ พิพากษากันเสร็จสรรพ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักระบบไฟซีนอน คิดแต่ว่าเมื่อไรเป็นซีนอนแล้วแสงต้องแรงแยงสายตาแน่ๆเพราะเคยเจอมากับตัวเองบนถนน กับรถรุ่นที่มีปัญหา ซึ่งบังเอิญว่าเป็นรถราคาไม่แพง จึงมีขายออกมาใช้กันเยอะ

    ส่วนรถที่ไฟซีนอนไม่แยงตา ก็มักจะเป็นรถคันละหลายล้านบาทซีนอนเป็นอีกระบบไฟส่องสว่างที่ต่างจากฮาโลเจน ในกลุ่มของซีนอนเองก็แยกย่อยเป็นหลายระดับความสว่างและออกหลายโทนสี มีไม่ต่ำกว่า 5-10 รุ่นของประสิทธิภาพหลอด มีตั้งแต่สีอมเหลืองๆ ส้มๆ คล้ายฮาโลเจนไปจนถึงอมฟ้าอมม่วงเลย ส่วนการแยงสายตา ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ตัวหลอด เพราะตัวกลอดก็มีใช้มีขายหลายค่าคว่างสว่าง ไม่ใช่หลอดติดตั้งอยู่ลอยๆ แสงจะพุ่งออกมาได้ ต้องอาศัยจานสะท้อน ถ้าออกแบบจานสะท้อนมาดี มีการควบคุมการกระจายของแสงได้ดี ตัดขอบแสงไม่ให้กระจาย การรวมแสง (เช่น มีเลนส์โปรเจคเตอร์) และมีการปรับตั้งมุมกดดี ถึงตัวหลอดจะมีแสงแรง แต่ก็อาจจะไม่แยงสายตาก็เป็นได้

    ซีนอน เป็นระบบไฟหน้าซึ่งไม่ถือว่าใหม่ในยุคนี้แล้ว เพราะมีการใช้แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่เกิน 5 ปี เกินครึ่งของรถใหม่น่าจะเป็นไฟซีนอน

    วรพล สิงห์เขียวพงษ์
     
  22. City_Ferio

    City_Ferio Active Member Member

    564
    29
    28
    เสีย 2 หมื่นซื้อ Xenon ได้กลับมาแค่ฮาโลเจนคู่เดียว
    บทความโดยคุณ Achura


    ไม่รู้ว่าพาดหัวแรงไปหรือเปล่า แต่เรื่องของเรื่องคือ เพราะผมมีความปรารถนาอย่างแรงที่จะเปลี่ยนไฟหน้าของเจ้า SXV20 ตัวเก่งจากแบบฮาโลเจนไปเป็นแบบซีนอน (Xenon) หรือ HID (High Intensity Discharge) ด้วยคาดหวังว่ามันจะสว่างกว่าเดิมและโดยไม่ไปรบกวนสายตาคนที่ขับรถสวนมา

    ปัจจุบันมีชุดคิต HID วางจำหน่ายในท้องตลาดอยู่หลายยี่ห้อ จากหลายตัวแทนจำหน่าย และในหลายระดับราคา ไล่ตั้งแต่แถวๆ 1 หมื่นบาทไปจนถึง 2 หมื่นกว่าบาท คำถามคือ "แล้วจะเลือกอย่างไหนดีล่ะ อย่างถูกหรืออย่างแพง แล้วยี่ห้อไหนดี" สถานการณ์บังคับให้ผมต้องเข้าเน็ต สถานที่ที่หลายคนบอกว่าคือห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจ จนกระทั่งได้พบกับสัจธรรม "เดิมๆน่ะ ดีอยู่แล้ว"

    ทำไม??? ก็เพราะ

    1.ค่า K ที่เขาใช้โฆษณา เช่น 7000K หรือ 12000K นั้น ไม่ใช่ตัวที่บ่งบอกถึงความสว่าง แต่เป็นค่าที่ใช้บอกเฉดสีของแสง

    2.ความสว่างมีหน่วยเป็นลูเมนส์ (lm) แต่ค่า K หรือเคลวิน เป็นหน่วยของอุณหภูมิสี (Color Temperature)

    3.ค่า K ของ HID จะแปรผกผันกับความสว่าง

    4.HID ที่สว่างที่สุดคือ 4100K ซึ่งเป็น OEM ของรถทั่วโลก โดยมีค่าความสว่างอยู่ที่ 3200 ลูเมนส์

    5.HID 5800K จะสว่างแค่ 2400 ลูเมนส์

    6.HID 8000K จะสว่างเพียง 2000 ลูเมนส์ เทียบกับ 1700 ลูเมนส์ของหลอดฮาโลเจน 100 วัตต์

    7.HID 12000K จะมีค่าความสว่างต่ำกว่า 2000 ลูเมนส์ (ผมเดาเอาว่าอยู่แถวๆฮาโลเจน 100 วัตต์นั่นแหละ ซึ่งเป็นที่มาของหัวเรื่อง)

    8.HID 12000K-30000K จะเป็นแสงสีม่วง ที่เราคุ้นเคยกันในชื่อแสง "อุลตร้าไวโอเลต" (Ultra Violet) หรือ "แบล็คไลท์" (Black Light) (คิดดูสิว่ามันจะมองเห็นอะไรมั้ย)

    9.HID 12000K แม้จะมีความสว่างเท่ากับหลอดฮาโลเจน หรือใกล้เคียง แต่มีข้อเสียมากกว่าคือ แสงฟุ้งกว่า ซึ่งเป็นธรรมชาติของแสงสีน้ำเงิน/ม่วง ทำให้ยอนตาคนที่ขับรถสวนทางมา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ นอกจากนี้แสงสีน้ำเงิน/ม่วงของ HID 12000K ยังทำให้เราต้องใช้สายตาเพ่งมองวัตถุ เช่น ถนน มากกว่าปกติด้วย ทำให้เกิดอาการล้าทางสายตาได้ง่ายและเร็วกว่า

    10.โคมรถ SXV20 ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับไฟ HID ดังนั้นถ้าเอาชุด HID ใส่เข้าไป อาจทำให้แสงฟุ้งยอนตาคนที่ขับรถสวนทางมาได้ ปรับระดับโคมอย่างไรก็ไม่หาย เนื่องจากจุดกำเนิดแสงเปลี่ยนไป (บางยี่ห้อก็ไม่เพี้ยน) อันเป็นผลจากหลอด HID ที่มีดีไซน์ต่างไปจากหลอดฮาโลเจน (อันนี้วิศวกรน่าจะเข้าใจดี ส่วนคนอื่น ถ้าไม่เข้าใจ ก็ให้ถามวิศวกร)

    ภาพนี้แสดงให้เห็นตำแหน่งกระเปาะของหลอดซีนอนที่อยู่ตรงกันกับไส้หลอดฮาโลเจน แสดงว่ายี่ห้อนี้ดีไซน์ออกมาดี จุดกำเนินแสงจะไม่เพี้ยน แต่บางยี่ห้อไม่ได้เป็นแบบนี้

    ต่อไปนี้คือข้อมูลโดยสังเขปที่ผมได้ไปอ่านมา ซึ่งผู้สนใจสามารถอ่านฉบับเต็มได้ (ภาษาอังกฤษ) ที่ และ www.tbyrnemotorsports.com/hids/hids.html และ www.intellexual.net/hid.html

    HID (High Intensity Discharge) คือเทคโนโลยีไฟส่องสว่างที่ต่างไปจากระบบฮาโลเจนปกติ แสงของหลอดฮาโลเจนจะเกิดจากการเปล่งแสงของขดลวดความต้านทาน ขณะที่แสงของ HID จะเกิดจากการปล่อยกระแสไฟฟ้าให้วิ่งผ่านก๊าซซีนอน คล้ายกับการทำงานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ การสปาร์คครั้งแรกจะใช้แรงดันไฟสูงถึง 25,000 โวลต์ ก่อนจะลดระดับลงมาเป็นไฟเลี้ยงที่ 35 วัตต์ 12 โวลต์

    ข้อดีของ OEM HID 4100K คือ

    1.กินไฟต่ำกว่าฮาโลเจน 3 เท่า (HID = 35 วัตต์, halogen = 55-100 วัตต์)

    2.สว่างกว่าฮาโลเจน 4 เท่า (HID = 2400-3200 ลูเมนส์, halogen = 800-1700 ลูเมนส์)

    3.มีความเข้มของแสงสูงกว่าฮาโลเจน 10 เท่า (HID = 202,500 แรงเทียน, halogen = 21,000 แรงเทียน)

    4.อายุใช้งานนานกว่าฮาโลเจน 6 เท่า (HID = 2500 ชั่วโมง, halogen = 400 ชั่วโมง)

    5.มีอินฟราเรดและอุลตร้าไวโอเลตต่ำกว่าฮาโลเจน ทั้งนี้อินฟราเรดและอุลตร้าไวโอเลตคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการล้าทางสายตา ทั้งของผู้ขับขี่เองและผู้ร่วมทาง

    6.อุณหภูมิสีของ HID เป็นระดับที่ใกล้เคียงแสงธรรมชาติมากที่สุด และทำให้เห็นภาพวัตถุได้ชัดเจนที่สุด

    7.หลอดฮาโลเจนที่มีอุณหภูมิสีระหว่าง 2300K-4000K จะมีความสว่างน้อยกว่าหลอดฮาโลเจนธรรมดา เพราะใช้ฟิลเตอร์ในการเปลี่ยนสีของแสง

    8.แสงของ HID จะไปได้ไกลกว่า กว้างกว่า และมีแพ็ตเทิร์นของแสงที่ชัดเจนกว่า

    ฟิลิปส์ (Philips) และออสแรม (Osram) คือ 2 ซัพพลายเออร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ผลิต HID ส่งให้กับผู้ผลิตรถยนต์ทั้งค่ายยุโรปและค่ายญี่ปุ่น โดย HID ของฟิลิปส์และออสแรมจะมีอายุการใช้งานอยู่ระหว่าง 2000-2500 ชั่วโมง และมีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 4100K-5800K ซึ่งจะให้แสงใกล้เคียงแสงธรรมชาติที่สุด ส่วนอุณหภูมิสีที่สูงกว่านี้จะออกโทนฟ้า น้ำเงิน และม่วง ตามลำดับ

    ทั้งฟิลิปส์และออสแรมไม่มีรายใดที่ผลิตหลอด HID ที่มีอุณหภูมิสีเกิน 6000K ดังนั้นหากพบชุดคิตที่มีอุณหภูมิสีสูงเกิน 6000K และบอกว่าเป็นฟิลิปส์หรือออสแรมทั้งชุดแล้ว สันนิษฐานไว้ก่อนว่าปลอม เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นจะเข้าลักษณะว่า เฉพาะบัลลาสต์เท่านั้นที่เป็นของฟิลิปส์ แต่หลอดเป็นยี่ห้ออื่น

    คุณกำลังเข้าใจผิด

    ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายที่ผลิตชุดคิต HID 7000K, 8000K ไปจนถึง 12000K ออกจำหน่าย หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าหลอดซีนอน 7000K-12000K สว่างกว่า, คุ้มกว่า และประสิทธิภาพสูงกว่าหลอด OEM 4100K ความจริงคือ อุณหภูมิสี (เคลวิน; K) จะแปรผกผันกับความสว่าง (ลูเมนส์; lm) นัยหนึ่งคือถ้าค่า K สูงขึ้น ความสว่างจะน้อยลง

    ตัวอย่างเช่น หลอด Philips OEM D2S 4100K ที่ 12.8 โวลต์จะให้ความสว่างที่ 3200 ลูเมนส์ ส่วนหลอด Philips Ultinon D2S 5800K ที่ 12.8 โวลต์จะให้ความสว่างที่ 2400 ลูเมนส์ ขณะที่บริษัทวิชั่น (Vision) ประเทศเกาหลี ระบุว่า หลอด 8000K ของวิชั่นจะมีความสว่างที่ 2000 ลูเมนส์ เทียบกับ 1700 ลูเมนส์ของหลอดฮาโลเจน (เดาว่าน่าจะเป็น 100 วัตต์) และ 800 ลูเมนส์ (หลอดฮาโลเจน 55 วัตต์)

    ยิ่งกว่านั้น อุณหภูมิสีที่สูงยังฟุ้ง (Glare) เข้าตาผู้ร่วมทาง และทำให้เกิดอาการล้าทางสายตาได้ง่ายกว่าด้วย ทั้งนี้การวิจัยของบริษัทในเยอรมนี, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริการะบุว่าอุณหภูมิสีที่ใกล้เคียงแสงธรรมชาติที่สุด มองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนที่สุด และทำให้เกิดความเมื่อยล้าทางสายตาน้อยที่สุดคือ 4100K

    สำหรับรถยุโรป เช่น Benz, BMW และ Audi ถ้ามองผ่านๆจะเห็นว่าไฟหน้า HID ของรถทั้ง 3 ยี่ห้อเป็นสีม่วง ทั้งๆที่ความจริงแล้วทั้งหมดใช้หลอด 4100K นั่นเป็นผลจากส่วนประกอบของโคมไฟหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวโปรเจกเตอร์ เลนส์ โคมสะท้อนแสง หรือแผ่นชิลด์ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกับแก้วปริซึม

    เพราะแสงสีน้ำเงินเป็นแสงที่มีพลังงานสูงสุดและไปได้ไกลที่สุดเทียบกับแสงสีอื่น ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้วจะพบว่าแสงสีม่วงหรือน้ำเงินที่ออกมาจากโคมไฟหน้าของรถ BMW นั้น จะออกมาเฉพาะตรงขอบด้านข้างหรือด้านบน/ล่างเท่านั้น พื้นที่ตรงกลางยังคงเป็นแสงสีขาวปกติ

    การใช้ HID สีน้ำเงินหรือม่วงไม่เพียงแค่ทำให้สมรรถนะของระบบไฟหน้าลดลงเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายกับผู้ร่วมทางด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถสวนมา เพราะแสงสีน้ำเงินเป็นแสงที่มีการกระจายตัวสูง บุคลิกของมันจึงชอบแพร่กระจายออกไปทางด้านข้างมากกว่าจะพุ่งตรงไปข้างหน้า ผลก็คือเกิดการฟุ้งของแสงออกนอกแพ็ตเทิร์นที่ทางผู้ผลิตรถยนต์ได้ออกแบบไว้และยอนเข้าตาของผู้ที่ขับรถสวนทางมา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุรุนแรงได้

    แสงสีน้ำเงินยังทำให้ทุกอย่างบนถนนเป็นสีน้ำเงินตามไปด้วย แถมความสว่างก็อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ต้องเพ่งและใช้สายตามากกว่าปกติ นัยหนึ่งคือสายตาจะล้าเร็วและง่ายกว่า เทียบกับแสงจากหลอดฮาโลเจน

    ด้วยเหตุนี้ ทหารจึงระบุให้ใช้แสงสีแดงในการส่องดูแผนที่หรือตารางต่างๆในตอนกลางคืนมากกว่าจะใช้แสงสีอื่น เพราะแสงสีแดงจะตรงกันข้ามกับแสงสีน้ำเงิน ไม่เบิร์นสายตา ทำให้ไม่ต้องปรับสายตามากนักเวลาที่อ่านแผนที่เสร็จแล้วกลับไปมองผ่านความมืดอีกครั้ง ตรงกันข้ามกับแสงสีน้ำเงินที่จะทำให้ตาคุณบอดไปชั่วขณะหนึ่ง

    นอกจากนี้ แสงสีฟ้าหรือม่วงยังมีความเข้มของแสงต่ำกว่าแสงสีขาว เพราะแสงสีขาวเป็นแสงที่เกิดจากการรวมกันของแสงสีแดง เขียว น้ำเงิน และเหลืองในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความเข้มกว่าแสงสีใดสีหนึ่งอยู่แล้ว

    ที่มา http://www.camryclub.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=21

    ขออนุญาตินำมาเผยแพร่เพื่อความรู้มา ณ ที่นี้ครับ :)
     
    GaB ถูกใจสิ่งนี้
  23. NuTTyRaY

    NuTTyRaY New Member Member

    658
    13
    0
    ข้อมูลเยอะดีจัง...
     
  24. GaB

    GaB New Member VIP

    1,643
    70
    0
    ชัดเจนเลยอั๋น

    ขอบคุณมากๆ
     
  25. TeY_RMuTi

    TeY_RMuTi New Member Member

    1,955
    56
    0
    ข้อมูลแน่ๆๆ...ความรู้ทั้งนั้น
     
  26. เหนื่อยใจเหมือนกันจะเลือกทั้งที มีมากมายเหลือเกิน

    เลือกไม่ถูก ใจนึงก็กลัวตำรวจ อีกใจนึงก็เลือกไม่ถูก

    ช่วยแนะนำแบบไม่โดนจับทีครับ
     
  27. Madeawsri

    Madeawsri New Member Member

    58
    143
    0
    ข้อมูลชัดเจน

    แต่ก็เลือกไม่ถูกเหมือน

    ปัจจุบันมันมีเยอะจัง
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้