ประวัติ BMW M1 ในช่วงทศวรรษ 70 นั้นทาง BMW ได้ทำข้อตกลงกับทาง Lamborghini ในการออกแบบและสร้างรถแข่งที่สามารถผลิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก ผลผลิตจากความร่วมมือกันระหว่างค่าย รถทั้ง 2 ค่ายทำให้เกิด รถสปอร์ตรุ่นแรกและรุ่นเดียวของ BMW ที่สามารถผลิตออกมาเป็นจำนวนมากที่มีเครื่องวางกลาง โดยอาศัยพื้นฐานของ BMW Turbo ในสมัยนั้น ตัวเครื่องขุมกำลังนั้น เป็นเครื่อง ขนาด 3.5 ลิตร 6 สูบซึ่งจะกลายมาเป็นลักษณะเด่นของ BMW ในรุ่นต่อๆมา เช่น BMW745i หรือแม้กระทั่ง BMW M9 E28 หรือแม้แต่ M8 ก็ตาม ตัวเครื่องยนต์ของ M1 นั้นสามารถผลิตกำลังสูงได้ถึง 277 แรงม้า และวิ่งถึง 260 กม./ชม. ซึ่งทาง BMW ได้ออกแบบรถสำหรับรุ่นแข่งที่มีการบรรจุ เทอร์โบเข้าไปด้วย ซึ่งสามารถเรียกม้าได้ถึง 850 ตัวเลยทีเดียว
การ ดีไซน์ตัวบอดี้นั้นตอนแรก BMW ได้ว่าจ้างทาง Lamborghini มาเป็นผู้ดูแลเต็มตัวแต่เนื่องจากปัญหาทางการเงินทำให้ BMW เข้ามาควบคุมดูแลการออกแบบอย่างเต็มตัวในเมษายนปี 1978 หลังจาก รถต้นแบบ 7 คันที่มีการสร้างกันขึ้นมา ทาง BMW ได้สร้างรถรุ่นดังกล่าวขึ้นมาเพียง 456 คันเท่านั้น ทำให้ M1 กลายเป็นสุดยอดรถ BMW ที่หายากที่สุดไปโดยปริยาย ซึ่งถึงแม้ว่าจะหาตัวได้ยากในสนามแข่งขัน M1 สามารถวาดลวดลายคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Group B ไปได้ในปี 1984 รวมถึงนิตยสาร Sports Car International ได้เสนอชื่อ M1 เข้า ทำเนียบอันดับ 10 ของรถสปอร์ตที่เยี่ยมที่สุดยุค 70 และใน ปี 2008 นี้เองทาง BMW ได้เปิดเผยตัว Concept Car BMW M1 Homage ที่เป็นรุ่นฉลองครบ 30 ปีของ M1 ออกมาให้ยลโฉมดังนั้น สาวกของ BMW คงต้องติดตามกันเป็นพิเศษกันหน่อยล่ะครับ
BMW M1 Homage คืนชีพซูเปอร์คาร์รุ่นดัง เรื่องการคืนชีพของดีในอดีตให้กลับมาโลดแล่นดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่กลับมาฮ็อตอีกครั้งหลังจากที่ 2 แบรนด์ดังแห่งเมืองลุงแซมอย่างไครสเลอร์และเชฟโรเลตพร้อมใจกันปัดฝุ่นนำชื่อแชลเลนเจอร์ และคามาโรกลับมาพัฒนาใหม่อีกครั้ง
และสำหรับการคืนชีพในครั้งนี้แม้ว่าจะยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าจะผลิตจริงหรือเปล่า แต่ก็ถือว่าได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะตามเว็บไซต์ของคนรัก บีเอ็มดับเบิลยู เพราะชาวบิมเมอร์ทั้งประเภทรักแถมซื้อมาเป็นเจ้าของ หรือรักแต่ใจเพียงอย่างเดียวมีหลายล้านคนทั่วโลก โดยเรื่องของเรื่องก็คือการที่ค่ายใบพัดสีฟ้านำซูเปอร์คาร์รุ่นดังในอดีตอย่างเอ็ม1 กลับมาคืนชีพเป็นคันจริงอีกครั้ง
เอ็ม1 ใหม่มากับชื่อต่อท้ายว่า Homage ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อฉลองอายุครบ 30 ปีของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ ซึ่งเปิดตัวในปี 1978 และขายจนถึงปี 1981 (และถือเป็นรถยนต์เครื่องยนต์วางกลางรุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยู) พร้อมกับได้รับความสำเร็จทั้งในเชิงของการเป็นรถสะสมและการแข่งขันในโลกมอเตอร์สปอร์ต โดยทางบีเอ็มดับเบิลยูได้นำต้นแบบรุ่นใหม่เอี่ยมนี้ออกจัดแสดงในงานรถยนต์คลาสสิค Concorso d'Eleganza Villa d'Este 2008 ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 25-27 เมษายนที่ผ่านมา ที่โรงแรมสุดหรู Grand Hotel Villa d'Este and the Villa Erba ริมทะเลสาบโคโม ประเทศอิตาลี สำหรับรุ่นดั้งเดิมของเอ็ม 1 ได้รับการออกแบบโดยจิออร์จิโอ จุยเจียโร แต่สำหรับรุ่นใหม่ได้รับการสร้างสรรค์โดยทีมออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู แต่ก็ยังยึดเลย์เอาท์เดิมของตัวรถซึ่งเป็นแบบเครื่องยนต์วางกลาง และนำเส้นสายบนตัวถังมาประยุกต์เพื่อให้ตัวรถดูมีความล้ำสมัยสมกับเป็นผลงานแห่งอนาคต ‘แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่เราจะเน้นและสนใจกับรากเหง้าในความเป็นไปของผลิตภัณฑ์ในอดีต แรงบันดาลใจของจุยเจียโร และบราก (Paul Bracq-ผู้พัฒนาระบบเทอร์โบให้กับตัวรถ) ถูกนำมาสานต่อและสร้างสรรค์ต้นแบบเอ็ม 1 โฮเมจขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในด้านดีไซน์และเทคโนโลยีของบีเอ็มดับเบิลยูที่อยู่ในระดับสูงสุดของการสร้างความเร้าใจอยู่เสมอ’ คริส แบงเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยูกล่าว ในเรื่องของรายละเอียดตัวรถไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ เอ็ม 1 โฮเมจ มากับตัวถังสีส้มในโทนสี Liquid Orange ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับต้นแบบรุ่นนี้โดยเฉพาะ และเป็นโทนสีที่เอ็ม 1 รุ่นแรกเคยใช้ แต่มีการปรับปรุงให้ส่องประกายและมีความชัดลึกของเนื้อสีมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญที่ด้านท้ายของตัวถังมีการแปะโลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูเอาไว้ที่ฝั่งซ้ายและขวาเหมือนกับเอ็ม 1 รุ่นแรก แทนที่จะแปะอยู่ตรงกลางเหมือนกับรถยนต์ทั่วไปของค่ายนี้ ส่วนมิติตัวถังโดยรวมของตัวรถอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรุ่นดั้งเดิม จะต่างออกไปก็ตรงที่ระยะฐานล้อ ที่ถูกขยายขึ้นเพื่อเพิ่มความกว้างขวางในส่วนของห้องโดยสาร เมื่อเปิดตัวออกมาเรียกความสนใจขนาดนี้ ย่อมต้องมีข่าวถึงแนวโน้มในการผลิตออกสู่ตลาด เพราะในปัจจุบัน นับจากการเลิกทำตลาดของซีรีส์ 8 รวมถึงโรดสเตอร์รุ่นใหญ่อย่าง Z8 ในช่วงทศวรรษที่ 1990 บีเอ็มดับเบิลยูยังไม่มีรถสปอร์ตพันธุ์แท้อยู่ในตลาดเลย ยกเว้นซีรีส์ 6 ซึ่งก็เป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของซีรีส์ 5 ชาวบิมเมอร์ทั่วโลกก็ได้แต่เฝ้ารอว่า งานนี้จะกลายเป็นฝันที่เป็นจริงหรือไม่ หรือว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นแค่โปรเจ็กต์สำหรับยั่วน้ำลายเท่านั้น