ชนิดของหลอดไฟ

การสนทนาใน 'Primera & Presea Club' เริ่มโดย silver dragon, 4 มีนาคม 2009

< Previous Thread | Next Thread >
  1. silver dragon

    silver dragon New Member Member

    580
    2
    0
    เทคโนโลยีของไฟหน้าไม่ว่าจะเก่าใหม่ยังไงก็ยังไม่เห็นพ้นโครงสร้างของการรวมกันระหว่าง ตัวกำเนิดแสง (มักจะเป็นหลอดไฟ) กับ ตัวโคมหรือตัวสะท้อนแสงหรือ ตัวขยายแสง อย่างพวกตัวสะท้อนแสงหรือเลนส์นั่นเอง เรามาลองดูเทคโนโลยีของตัวที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงกันก่อนเลยดีกว่า

    โคมไฟ
    หลักการของโคมไฟ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งกำเนิดไฟให้ได้มากที่สุด ซึ่งวิธีการง่ายๆ ก็คือ "การสะท้อนแสง" แต่การสะท้อนก็มีหลายแบบหลายวิธี กันไป แต่ที่เป็นที่นิยมกันมากๆ ก็คงหนีไม่พ้น 3 แบบนี้

    โคมกระจกหักเหแสง โคมแบบนี้จะใช้ตัวสะท้อนแสงเป็นรูปโคนที่มีพื้นผิวชุบโครเมี่ยมเงาๆ ซึ่งมักจะต้องมีขนาดใหญ่เพื่อให้ได้แสงมากๆ มันใช้กระจก (หรือพลาสติก) ในการหักเหแสงให้ไปในทิศทางที่ออกแบบไว้ ซึ่งตัวมันเองก็ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันโคนสะท้อนแสงกับหลอดไฟภายในไปด้วย

    Multi-Reflector หรือที่บ้านเราเรียกว่า "ตาเพชร" ที่มีให้เห็นครั้งแรกในฮอนด้าแอคคอร์ดรุ่นที่ 4 ที่ออกมาช่วงระหว่างปี 2533-2536 มันใช้การออกแบบ ตัวสะท้อนแสงให้สะท้อนพร้อมกับหักเหแสงได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนกระจกที่ครอบไฟ ก็ใช้เป็นเพียงแค่ป้องกันตัวโคมกับหลอดเท่านั้น การออกแบบ ลักษณะนี้ ส่งผลให้การออกแบบโคมไฟสมัยใหม่มีข้อจำกัดน้อยลง เนื่องจากไม่ต้องใช้ตัวสะท้อนแสงเป็นรูปโคนใหญ่ๆ แล้ว และที่สำคัญ แสงที่ได้มาก็คมกว่า ชัดกว่า ไกลกว่า และในเวลากลางวัน ตัวโคมเองก็ดูสวยงามเย้ายวนใจอีกต่างหาก

    Projector หรือ Ellipsoid headlights รูปร่างเหมือนเลนส์กล้องถ่ายรูปกันเลยทีเดียว สำหรับโคมไฟหน้าแบบนี้ ขอเรียกว่าแบบเลนส์เลยละกัน เพราะมันอาศัย เลนส์เพื่อควบคุมแสง โดยเริ่มแรกที่แสงส่องออกมาจากหลอดไฟ มันจะไปสะท้อนกับโคนสะท้อนแสงและสะท้อนออกมารวมกันที่จุดโฟกัส ก่อนผ่านออก ไปที่เลนส์ด้านหน้าสุด และ ณ จุดนี้เอง ที่เราสามารถใส่ตัวควบคุมแสงเอาไว้ได้ด้วย เช่น สามารถกันแสงส่วนนึงออกเพื่อไม่ให้แสงสูงเกินไป เป็นต้น

    เป็นที่รู้กันดีว่า เมื่อแสงผ่านเลนส์แล้ว แสงจะถูกจัดเรียงตัวได้ดี และสามารถวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างเป็นระเบียบ พลังงานแสงที่ส่องออกมาก็ สูญเสียไปในทิศทางอื่นๆ น้อยลง ดังนั้นเมื่อแสงวิ่งผ่านเลนส์ด้านหน้าโคมไฟแล้ว แสงที่ส่องออกมาจะมีความเข้มแสงที่ดีกว่าแสงที่ส่องออกมาจากโคม ทั่วๆ ไป มีวงจำกัดกว่า ส่องไปได้ไกลกว่า ลองสังเกตรถที่ใช้ไฟหน้าเลนส์นั้น แสงที่พุ่งออกมาจะไม่ค่อยสว่างหากไม่ใช่ทิศทางที่มันจะต้องส่องไป ดังนั้นมันก็เลยไม่มาแยงเข้าลูกในตาเรา ไม่ว่ามันจะสว่างมากแค่ไหนก็ตาม (และถ้าเค้าไม่ได้ปรับไฟให้ส่องสูงๆ ด้วย) ไฟแบบนี้มักจะพบในรถยนต์ไฮโซๆ ซะมาก เนื่องจากราคามันแพงอ่ะนะ...

    หลอดไฟ ต้นกำเนิดของความงาม
    นับตั้งแต่นายโทมัส อัลวา เอดิสัน เริ่มจดสิทธิบัตรหลอดไฟที่เค้าพัฒนาขึ้นและออกจำหน่ายโดยทั่วไป นับได้กว่า 120 ปีมาแล้ว จนบัดนี้ หลักการก็ยังคงเดิม มันก็คือ "การทำให้ร้อนจนสว่าง แต่ไม่ให้มันไหม้" แค่นั้นจริงๆ การทำให้ร้อนก็คือการเอาไฟฟ้าวิ่งผ่านตัวต้านทานหรือไส้หลอดจน ร้อนและสว่างขึ้น เหมือนจะลุกติดไฟ แต่ไฟมันติดไม่ได้เพราะว่ามันไม่มีออกซิเจนให้เผา แต่ตรงข้าม กลับใช้ก๊าซเฉือยมาอยู่รอบๆ แทน ยิ่งติดลุกไหม้ ติดไฟยากเข้าไปอีก และสิ่งที่บรรจุทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันก็คือ กระเปาะกระจกนั่นไงเล่า... กลายเป็นหลอดไฟที่เราเห็นๆ กัน

    สำหรับหลอดไฟหน้ารถยนต์ที่เราๆ ใช้กันอยู่ ก็เกิดจากหลักการแบบนี้ เพียงแต่ความต้องการแสงมันมีมากกว่า หลอดตามบ้านทั่วๆ ไป การพัฒนาภายใต้ กรอบของการร้อนแต่ไม่ไหม้ก็เลยเป็นการพัฒนาตัวไส้หลอด บวกกับการเลือกใช้ก๊าซบรรจุและสารประกอบอื่นๆ ใส่เข้าไปนั่นเอง และที่มาของชื่อเรียก ประเภทหลอดต่างๆ ก็มาจากตรงนี้ด้วย ส่วนขาหลอดก็จะมีเบอร์ต่างๆ กันไป เช่น H1, H3, H4, H7, HB3 หรือ HB4 เป็นต้น อันนี้แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อของรถด้วย

    หลอดไส้ธรรมดา มักจะใช้ไส้ที่ทำจากทังสเตน และดูดอากาศภายในหลอดออกจนไม่เหลือออกซิเจนเลย หรืออาจบรรจุก๊าซเฉื่อยลงไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิด ปฏิกิริยาและเผาไหม้

    หลอดฮาโลเจน เป็นหลอดที่ยังคงใช้เทคนิคการร้อนแต่ไม่ไหม้เหมือนเดิม แต่เพิ่มก๊าซจำพวกฮาโลเจนเข้าไปในกระเปาะหลอดด้วย เมื่อไส้หลอดทั้งสเตน ร้อนมากๆ และเริ่มระเหิดออกมา มันจะมาจับตัวกับเจ้าฮาโลเจนพวกนี้แหละ แล้วกลับไปเกาะที่ไส้หลอดทันสเตนเหมือนเดิม ไส้หลอดก็เลยไม่ขาดซักกะที และด้วยเหตุนี้ ไส้หลอดก็เลยสามารถทนความร้อนได้สูงกว่าเก่า ก็เลยสว่างได้มากกว่าเก่า แถมยังมีอายุการใช้งานนานกว่าเดิมอีกต่างหาก


    แต่ที่ไฮเทคมากว่านั้น หากมีการเคลือบสารที่เรียกว่า ไดโครโออิค ภายในผิวกระเปาะของหลอดฮาโลเจน เมื่อแสงอินฟราเรดที่เราๆ มองกันไม่เห็นอยู่แล้ว พยายามจะกระจายออกมา มันจะถูกสะท้อนกลับไปที่ไส้หลอด ช่วยเพิ่มความร้อนให้กับไส้หลอดอันก่อให้เกิดแสงสว่างที่เพิ่มขึ้นเข้าไปอีก แถมยังทำให้ประหยัดไฟฟ้าได้มากขึ้นด้วย หลอดประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า หลอดฮาโลเจน อินฟราเรด

    หลอด HID มันทำงานแตกต่างจากหลอดไส้ธรรมดาเนื่องจากมันไม่ได้สว่างมาจากไส้หลอดเหมือนหลอดไฟปกติ แต่กลับใช้หลักของการกระโดดของไฟฟ้า จากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่งลักษณะคล้ายกับในหลอดฟลูออเรสเซนต์แทน ดังนั้นแหล่งกำเนิดแสงก็มาจากไฟฟ้าที่กระโดดผ่านไอโลหะไปยังขั้วหลอดอีก ข้างหนึ่งนั่นเอง

    ระหว่างทางที่ไฟฟ้ากระโดดออกจากขั้วหนึ่งเพื่อเข้าไปหาอีกขั้วหนึ่ง มันก็จะต้องกระโดดผ่านไอโลหะที่ผสมอยู่กับก๊าซภายในหลอดไป ไอเหล่านั้นก็ได้แก่ เมอร์คิวรี่ เมเทิลฮาไลด์ หรือ โซเดียม ซึ่งเป็นผลให้ไอโลหะเหล่านั้นร้อนและปล่อยแสงจะนวนมากออกมานั่นเอง แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า ไอโลหะที่กล่าวมาเหล่านั้น กว่ามันจะส่องแสงนั้นมันใช้เวลานานเกินไป ลองนึกถึงไฟส่องถนนที่เพิ่งเปิด กว่าจะสว่างมันก็ใช้เวลาพอสมควรอยู่... ไม่ทันการสำหรับรถยนต์เป็นแน่ ดังนั้นในรถยนต์ ไอโลหะที่ว่าจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ "ซีนอน" แทนนั้นเอง มันสว่างทันใจกว่าเยอะ... ดังนั้นหลอด HID สำหรับรถยนต์จึงมักจะให้ความหมายเป็น หลอดที่ใช้ซีนอน เป็นส่วนใหญ่

    การที่ไฟฟ้าจะกระโดดได้นั้น มันต้องมีการแปลงความต่างศักดิ์ของไฟฟ้าหรือแปลงโวลท์ ให้สูงมาก อุปกรณ์ที่จะต้องใช้คู่กับหลอดประเภทนี้ก็คือ อุปกรณ์แปลงโวลท์ให้สูงขึ้นที่เรียกว่า บัลลาสท์ซึ่งมักจะรวมตัวสตาร์ทเตอร์หรือตัวเริ่มกระแสเข้าไปด้วย เราจึงไม่สามารถเปลี่ยนแค่หลอดฮาโลเจนธรรมดา ให้เป็นซีนอนได้ทันที ต้องติดตั้งบัลลาสท์ด้วย แต่ไม่ต้องห่วง... หลอดซีนอนนั้นนอกจากจะให้ความสว่างกว่าหลอดปกติถึง 300% แล้ว มันยังกินไฟน้อยกว่าด้วย มันใช้ไฟแค่ 35 วัตต์ เท่านั้นในขณะที่หลอดไส้ธรรมดาใช้ไฟประมาณ 55-65 วัตต์ แถมมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าอีก 7 เท่า สำหรับเรื่องแสงและสีก็ลอง เทียบดูจากตารางละกัน
    หลอดฮาโลเจน หลอด HID
    ความสว่าง Lumen(lm) 1,550lm 3,200lm (ที่ 4,200k)
    2,500lm (ที่ 6,000k)
    1,850lm (ที่ 9,000k)
    สีของแสง Kelvin (k) 3,200k 4,200k / 6,000k / 9,000k



    จากตารางข้างบน น่าสังเกตุว่า หากหลอดส่งแสงออกมายิ่งเป็นสีฟ้าแล้ว (สีระหว่าง 6,000-9,000K) ความสว่างหรือ Lumen จะยิ่งลดลง เนื่องจากความถี่ของ แสงสีฟ้าจะทะลุอากาศได้ไม่ดีเท่าแสงสีขาว และสีขาวทะลุได้ไม่ดีเท่าสีเหลือง ดังนั้นหากใครคิดจะเอาหลอดฮาโลเจนที่เคลือบสีฟ้าที่หลอดเพื่อให้แสงมีสีเหมือน หลอดซีนอน มาใส่ก็คิดกันดีๆ เพราะความสว่างมันจะลดลงกว่าหลอดฮาโลเจนสีเหลืองมาตรฐานซะอีกนะ... เสียกะตังค์แล้วยังเสี่ยงขึ้นอีกต่างหาก



    เรื่องหน้าตาของหลอด HID แบบมาตรฐานจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ D1 กับ D2 โดย D1 จะมีสตารท์เตอร์ติดอยู่ที่ขั้วหลอดด้วย ส่วน D2 จะเป็นหลอดเดี่ยวๆ เลย ส่วนตัวอักษร R หมายถึงการใช้กับโคมสะท้อน หรือพวกตาเพชร ส่วนอักษร S หมายถึงหลอดที่ใช้กับโคมแบบเลนส์โปรเจคเตอร์ และนั่นก็แปลว่า ลักษณะของแสงที่ได้จากหลอดแบบซีนอนจะมีความแตกต่างจากหลอดไส้ปกติ เนื่องจากมันไม่ได้ส่องออกมาทุกทิศทุกทางเหมือนในหลอดไส้ปกตินั่นเอง หลอดซีนอนจึงควรถูกติดตั้งกับโคมสะท้อนที่ออกแบบมาเพื่อใช้ร่วมกันจึงจะสามารถใช้งานได้อย่างดี แสงสามารถส่องออกมาอย่างถูกทิศถูกทาง... สมบูรณ์ เห็นชัดไร้ที่ติและที่สำคัญ... มันจะได้ไม่ไปแยงตาคนอื่นเค้า...
     
  2. poomsiri

    poomsiri New Member Member

    672
    8
    0
    ได้ความรู้อีกแล้ว.......กะลังหาข้อมูลเรื่องความสว่างของแสงกะค่า K อยู่เลย......อิอิ ขอบคุณคับ
     
  3. PeMhom

    PeMhom New Member Member

    1,163
    3
    0
    อ่านเหนื่อนเลย..แต่แน่นอนจริงๆ
     
  4. Manee B.

    Manee B. New Member Member

    271
    0
    0
    ได้ความรู้เพิ่มเติม จากคลับนี้อีกแล้วนะเรา ขอขอบคุณมากๆ
     
  5. Dognation

    Dognation New Member Member

    20
    0
    0
    เข้ามาเงียบๆ อ่านๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณครับ
     
  6. TheCrow

    TheCrow New Member Member

    177
    1
    0
    กระจ่างมากครับ
     
  7. obeya

    obeya New Member Member

    314
    1
    0
    สุดยอดเลยคับ
     
  8. Udong

    Udong New Member Member

    319
    0
    0
    ยอดเยี่ยมเลยคร้าบ
     
  9. Crybaby

    Crybaby New Member Member

    113
    0
    0
    คิดถึงพี่โจ ว่ะไม่ได้เจอนานนนนนนน มากแล้วพี่
     
  10. pee-ae

    pee-ae New Member Member

    161
    2
    0
    พี่โจ แล้วมีรุ่นไฟหน้าใหญ่ หัวซีนอนสีชมพูอะป่าว
    รุ่นนี้มันจะมากับเครื่องรุ่น ฝาโหนก-แคมคู่-หลังหัก-สายไฟตัด(ที่บ้านเรียกโกนอะ5555.)
    ถ้าเจออย่าลืมซื้อนะ ตัวนี้ละอ๊อปชั่นเต็มไม่เสียดายตังค์ ฮาาาาา.
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มีนาคม 2009
  11. tOon`

    tOon` Well-Known Member Member

    2,324
    43
    48
    555+ เยี่ยม เลย พี่ พี !
     
  12. silver dragon

    silver dragon New Member Member

    580
    2
    0
    หายากง่ะพี....

    ส่วนใหญ่มีมาแต่ไฟหน้าแตกลายงา..หลอดหัวดำบางทีเจอหัวบอด....แคมเบี้ยว...ฝาแบน......แถมเครื่องบูดอีก.....เฮ้อ...กลิ่นน้ำมันเครื่องงี้....หึ่งเลยง่ะ....
     
  13. pee-ae

    pee-ae New Member Member

    161
    2
    0
    งั้นแนะนำลองพี่โจไปหาข้อมูลดูที่ sabuytua.com
    มีปลากรอบด้วย (รูปภาพประกอบ) ศัพท์คนติดอ่างเค๊าเรียกกัน


    ว่างๆลงมาซ้อมสนุ๊กกันหน่อยดิไม่ได้จับคิวมาสองปีแล้ว อยากกลับมาเล่นอีกครั้ง
    ชวนโอwhitebear มาด้วยก็ได้
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้