เที่ยวลาว : ผู้หญิงไปกันเองโดยลำพังต้องระมัดระวังให้มาก อันตรายครับ เที่ยวนี้ผมเข้าลาวเป้าหมายไปหลวงพระบาง-วังเวียง โดยเวียงจันทน์เป็นทางผ่าน ผมเข้าลาวตั้งแต่หัวค่ำวันที่ 1 กพ.พักที่วียงจันทน์ก่อน รุ่งขึ้นเข้าหลวงพระบาง ที่หลวงพระบาง ผมเดินเที่ยวเองในเมือง เนื่องจากความตั้งใจต้องการไปวัด โบราณสถาน โรงเรียนและใส่บาตรข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่สถานที่หลักๆก็อยู่ในเมือง ส่วนสถานที่อื่นๆ หากมีเวลาก็ไป พักอยู่สองคืนก็เดินทางย้อนกลับเข้าวังเวียง พักสองคืน ที่วังวียง เป้าหมายคือธรรมชาติ กระโดดน้ำ ถ้ำน้ำ ถ้ำอื่นๆ และหากอยู่แล้วชอบอาจพักหลายคืน เนื่องจากเที่ยวนี้พอมีเวลาแต่แล้วผมก็พักอยู่แค่สองคืน คืนที่สองผ่านไปรุ่งเช้าคือวันที่ 6 กพ. ผมเก็บข้าวของเดินทางรวดเดียวจากวังเวียง-กรุงเทพฯ ต่อรถเรื่อยๆไม่หยุดพักค้างคืนที่เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืน ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะพักที่เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืนปิดท้ายการเดินทาง เนื่องจากได้รับรู้เหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็น ทำให้ไม่สบายใจ เรื่องราวที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็นและทำให้ไม่สบายใจ เกิดขึ้นที่วังเวียง เหตุการณ์เกิดตอน 1day trip ที่วังเวียง ผมซื้อความสบายหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีมีความปลอดภัย ไม่ต้องดิ้นรน หนึ่งวันจะประกอบด้วย นั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำ เลี้ยงอาหารกลางวันมีข้าวผัด บาบีคิว กล้วยน้ำว้าสองใบ มีน้ำดื่มให้หนึ่งขวดใหญ่ พายเรือคะยัค กระโดดน้ำ และพายเรือคะยัคต่อหรือล่องห่วงยางถึงวังเวียง แล้วแต่เวลา 1day trip ผมซื้อในราคา 90000 กีบโดยไม่ต่อราคา(เข้าใจว่าต่อได้) ในคืนวันที่ 4 กพ.ที่ไปถึงวังเวียง เช้าวันต่อมา 5 กพ. คนของทัวร์มารับยังที่พัก 9.30 น. พาขึ้นรถบรรทุกตะเวนรับนักท่องเที่ยวตามที่พักหรือสำนักงานขายทัวร์รวมกันไปด้วยรถบรรทุกสองคัน ช่วงที่รับคนญี่ปุ่นขึ้นรถ ได้ยินชาวลาวคุยกันว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วยแล้วก็หัวเราะกัน (ภาษาลาว แต่พอฟังออก) ทั้งหมดรวมกันประมาณ 24-27 คน ผมจำไม่ได้แน่นอน ใน trip นี้มีผมเป็นคนไทยคนเดียว นอกนั้น ผู้ชายชาวอินโดฯ 1 คน ชายชาวเกาหลีหนึ่งคนมากับผู้หญิงชาวลาว(คาดว่าเป็นผู้หญิงกลางคืน) สาวญี่ปุ่น 4 คน นอกนั้นฝรั่งทั้งนั้นหลายชาติหลายภาษา รถบรรทุกขับพาลูกทัวร์ออกนอกเมืองไปประมาณ 15 กิโลฯทางที่จะขึ้นไปหลวงพระบาง เมื่อไปถึงรถเลี้ยวจากทางหลักเข้าซอยที่เป็นฝุ่นแดงไม่ไกลนัก คณะทัวร์ก็ลงจากรถเดินเข้าไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงถ้ำน้ำ ตรงนี้ไกด์จะจัดแบตเตอรี่พร้อมหลอดไฟมีสายคาดที่ศรีษะโดยให้หลอดไฟอยู่ตรงหน้าผากนักท่องเที่ยวพานั่งห่วงยางเข้าไปในถ้ำน้ำใช้เวลา ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เวลาเหมาะสม ตอนนี้ก็สนุกดี น้ำเย็น สะอาดอยู่ เหนื่อยนิดหน่อย ผมไม่ได้ถ่ายรูปเพราะกลัวเปียกน้ำ ไปคนเดียวถ่ายรูปตัวเองขณะนั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำก็ไม่ได้และเป็นภาระ นำแต่กระเป๋าเงินกับกุญแจห้องพักและกุญแจล็อคกระเป๋าเดินทางใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมมาจากบ้านเอง ใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นที่มีซิป(ทัวร์จะมีถุงกันน้ำให้ แต่ผมไม่ต้องใช้เพราะไม่เอาอะไรติดตัวไป หากใครนำผ้าเช็ดตัว หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดด กล้องถ่ายรูป และอื่นๆก็ต้องใช้ถุงกันน้ำ) อ่อ..ฝรั่งบางคนกล้องถ่ายรูปกันน้ำ เขาก็นำติดตัวไป เข้าใจว่าแพง ผมไม่มีปัญญาซื้อ ช่วงระหว่างลอดถ้ำน้ำ ไกด์จะเข้าไปด้วยบางคน บางคนก่อไฟปิ้งบาบีคิว เพื่อเป็นอาหารกลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว หลังจากเสร็จจากถ้ำน้ำก็ทานข้าวกลางวันกันที่นั่น ไกด์มากัน 6 คน ก็ช่วยกันแจกข้าวกล่อง บาบีคิวคนละสองไม้ ขนมปังแบบฝรั่งเศส 1 ชิ้น กล้วยน้ำว้า 2 ใบ เมื่อทานเสร็จไกด์ก็เรียกนักท่องเที่ยวบอกเราจะไปถ้ำช้างกัน ช่วงนี้เองเริ่มมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น เรื่องผิดปกติคือเมื่อไกด์เรียกนักท่องเที่ยวไปต่อ ผมเดินขึ้นไปก่อน ส่วนคนอื่นๆก็เก็บข้าวของทยอยตามมา ช่วงที่รอคนอื่นผมก็ยืนคุยกับไกด์ชาวลาว สะดุดตรงคำพูดที่ว่า “ ไกด์ : พี่มาคนเดียวหรือ กลับพรุ่งนี้หรือป่าว ค่ำนี้ค้างแถวสไลด์เดอร์เช้าเขาจะไปส่งที่พัก ผม : มีอะไรหรือ ถึงให้ค้างที่นั่น ไกด์ : ผู้หญิงญี่ปุ่น 4 คน ไม่มีผู้ชายมาด้วย เดี๋ยวผมจัดให้พี่หนึ่งคน (สาวญี่ปุ่นมากันสี่คนยังเด็กทั้งหมดเรียนหนังสืออยู่ เพราะได้ทักทายกันบ้างนิดหน่อย) ผม : พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร (ในตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าผิดปกติ ไกด์มีสิทธิ มีอำนาจสั่งคนญี่ปุ่นได้ขนาดนั้นหรือ และ “ จัดให้ ” ที่ว่าหมายถึงอะไร) ” พอนักท่องเที่ยวอื่นๆเดินมาถึงก็หยุดคุยกันและเดินต่อไปถ้ำช้าง ไปถึงผมก็เข้าไปไหว้พระ ไกด์ก็อธิบายให้นักท่องเที่ยวคนอื่นฟังเกี่ยวกับพระพุทธรูปและเรื่องราวทางศาสนา ผมไหว้พระเสร็จก็ออกมายืนฟัง เสร็จจากถ้ำช้างไกด์ก็เรียกขึ้นรถ รถขับพากลับไปทางที่จะเข้าวังเวียงประมาณ 5 กิโลฯ เพื่อเอาเรือคะยัคลงลำน้ำชอง ไกด์ก็อธิบายการพายเรือให้นักท่องเที่ยวฟัง แล้วก็จัดให้นักท่องเที่ยว ใครจะพายคนเดียว ใครจะพายสองคน ช่วงนี้ไกด์จัดให้คนญี่ปุ่นหนึ่งคนลงเรือคะยัคไปกับผม ผมปฏิเสธบอกพายเรือไม่เป็น ขอไปกับไกด์ดีกว่า เมื่อเรือคะยัคพายมาได้ช่วงหนึ่ง ถึงตรงกระโดดน้ำก็หยุด แวะให้นักท่องเที่ยวกระโดดน้ำ ผมโดดไปสองหนก็สนุกเที่ยวแรก เที่ยวหลังเริ่มไม่หวาดเสียวก็เลยพอ ยืนดูดีกว่า ฝรั่งสนุกสนานมากกินเหล้ากินเบียร์กัน ผมหันไป-มามองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย หันไปเจอกลุ่มไกด์กำลังก่อไฟในเตาถ่านปิ้งปลาที่จับในลำน้ำชองกินกับข้าวเหนียว ไกด์กวักมือเรียกผม ผมก็เดินเข้าไป ไกด์ชวนให้กินด้วย ผมบอกอิ่มกินไม่ไหว ไกด์จึงล้วงขวดเหล้าออกมา ยี่ห้อเหล้าไม่คุ้น เข้าใจเองว่าเป็นเหล้าท้องถิ่นของลาวชวนผมกินด้วย ผมบอกกินเหล้าไม่เป็น ผมนั่งคุยกับไกด์ได้สักพัก เหล้าเหลือครึ่งขวด ไกด์ล้วงกระเป๋าสะพายดึงของออกมาสองซอง ฉีกแล้วเทลงขวดเหล้ ? ที่เหลือครึ่งขวด (ผมเห็นแบบนั้นนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของไกด์ทันที “ ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วย ” ตอนเพิ่งขึ้นรถในวังเวียง กับ “ พี่มาคนเดียว ค่ำนี้พักที่นี่ เดี๋ยวผมจัดคนญี่ปุ่นให้หนึ่งคน ”) ซองแบบนั้นผมเคยเห็นเมื่อตอนที่ไปแม่สายข้ามไปท่าขี้เหล็ก คนที่เคยไปคงนึกภาพออกถึงคนพม่าสะพายตะกร้าห้อยคอขายไวอะกร้าและสินค้าอื่นๆ รวมทั้งซองแบบนี้ด้วย บนซองจะมีภาพพิมพ์รูปผู้หญิง ผมบอกไกด์ปวดถ่ายเบาลุกเดินออกมา แล้วเดินไปหาที่ถ่ายเบา ในความคิดตอนนั้นเริ่มแน่ใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่มันอาชญากรรมแล้ว ผมจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร เมื่อถ่ายเบาเสร็จ ผมเดินไปดูตรงที่กระโดดน้ำ ซึ่งคนญี่ปุ่นสี่คนกระโดดน้ำแล้วมายืนอยู่แถวนั้น ผมยืนและครุ่นคิดในใจจะเอาไงดี จะบอกคนญี่ปุ่นดีหรือไม่ ผมมายืนตรงนี้หลังจากถ่ายเบาประมาณไม่ถึงนาที หนึ่งคนในคณะไกด์ก็เดินมาพร้อมขวดเหล้า ผมไม่ได้หันไปมอง ตาน่ะมองคนกระโดดน้ำ แต่หางตามองไปทั่ว สมองก็คิดเริ่มเครียด ไกด์รินเหล้าใส่แก้วใสใบเล็กๆให้คนญี่ปุ่นกิน เขาก็กินแฮะ ชิมนิดหน่อย ไกด์กวักมือแสดงท่ากินให้หมด คนญี่ปุ่นก็ว่าง่ายกินหมดแก้ว จนครบ 4 คน ผมเข้าใจว่า คนญี่ปุ่นคงนึกว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของบริการใน trip อาจจะประกอบกับอาการสนุกสนาน ตื่นเต้น เหนื่อย ระคนกันไป ที่สำคัญยังเด็กด้วย ผมยืนอยู่ข้างๆห่างไม่เกินสองเมตรเห็นเหตุการณ์นั้น ไม่สบายใจเลย สักพักหลังจากคนญี่ปุ่นกินเหล้าครบทั้ง 4 คน ไกด์เรียกกลับแล้ว (เร็วกว่าเวลาตาม trip หนึ่งชั่วโมง) ร ะหว่างทางเดินจากที่กระโดดน้ำถึงเรือคะยัค ไกด์เดินมาคุยกับผมบอก จะแยกกรุ๊ปทัวร์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเขากับเพื่อนอีกคนจะพานักท่องเที่ยวพายเรือคะยัคกลับเข้าวังเวียงจบ trip แล้วแยกคนญี่ปุ่น 4 คนกับผมออกไปที่สไลด์เดอร์ โดยมีหนุ่มเกาหลีกับสาวกลางคืนชาวลาวและคณะไกด์ที่เหลืออีก 4 คนอยู่ด้วย โดยไกด์บอกผมว่าไปส่งนักท่องเที่ยวกลับแล้วเดี๋ยวจะกลับมา ตามโปรแกรมทัวร์ สไลด์เดอร์ไม่อยู่ในรายการ trip นี้ และคนที่เคยไปคงนึกภาพออกแถวสไลด์เดอร์มีร้านขายเหล้าเบียร์มีดนตรี และละแวกนั้นมีบังกะโลหรือจะเรียกกระท่อมเป็นหลังๆ ก็แล้วแต่จะเรียก คนไม่เยอะ ไม่เหมือนแถวกระโดดน้ำ ระหว่างพายเรือคะยัคจากจุดกระโดดน้ำถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณไม่เกิน 10 นาที ผมนั่งมาในเรือกับไกด์เหมือนเดิม ถึงไลด์เดอร์ ไกด์พายเรือจะเข้าฝั่งส่งผม แล้วค่อยพานักท่องเที่ยวฝรั่งอื่นๆกลับวังเวียง พอเรือใกล้ฝั่งผมหันไปบอกไกด์ผมเหนื่อยมาก เพลียและเจ็บตัวจากที่ขาผมขูดกับเตียงนอนของที่พักเป็นแผล เมื่อโดนน้ำแล้วผมกลัวไม่สะอาดจะรีบกลับไปทำแผล แล้วผมไม่ชอบคนญี่ปุ่นชอบคนไทยมากกว่า เขาตอบกลับมาว่าเที่ยวนี้ไม่มีคนไทย อาทิตย์ที่แล้วสิคนไทย ผมได้ยินแบบนั้นก็ทำเฉยๆ บอกไปอีกว่าผมกลับดีกว่า (ช่วงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอื่น คิดอยู่แต่เรื่องจะทำอย่างไรดี เอาไงดี รวมเวลาตั้งแต่ที่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุอะไรคือเห็นฉีกซองใส่ขวดเหล้าจนถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณ 15-20 นาที ) ไกด์จึงตะโกนบอกเพื่อนให้ชวนหนุ่มอินโดฯอยู่ด้วย หนุ่มอินโดฯก็เลือกที่จะอยู่ ที่ผมตัดสินใจกลับเข้าวังเวียง นึกอยู ? ว่า นี่ต่างถิ่น ไกด์ 6 คนและอาจมากกว่า ส่วนผมคนเดียว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี ผมตัดสินใจนิ่งเฉยปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ฉีกตัวเองออกจากเหตุการณ์ เมื่อกลับถึงที่พักก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมานั่งสั่งข้าวกินที่รีสอร์ท ระหว่างกินไปก็ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ ลำดับเหตุการณ์ ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่สบายใจ ใจอยากกลับเมืองไทยเดี๋ยวนั้น แต่ความจริงกลับไม่ได้หรอก ไปไม่ทันด่านปิดแน่ คืนนั้นผมนอนไม่หลับเกือบตลอดคืน ทั้งๆที่เหนื่อย เพลีย ปวดเมื่อยไปหมด นึกถึงแต่เหตุการณ์และการตัดสินใจของตนเอง ผมยอมรับนอนน้ำตาไหลบนที่นอน ทั้งๆที่เด็กสาวชาวญี่ปุ่นไม่เกี่ยวข้องกับผม ไม่ใช่ญาติพี่น้องผมเลย เช้าวันรุ่งขึ้นผม หารถ minivan ( รถตู้เล็กฮุนได) กลับเข้าเวียงจันทน์ เช้าวันนั้น 6 กพ. ที่วังเวียงฝนตกหนักด้วย ถึงเวียงจันทน์ที่ตลาดเช้า ผมซื้อตั๋วขึ้นรถเที่ยวบ่ายสองกลับไทยโดยไม่แวะเที่ยวที่เวียงจันทน์แล้ว พูดถึงระยะเวลาของเหตุการณ์สั้นๆ 15-20 นาทีตอนนั้น แต่ในความรู้สึกผมมันช่างยาวนานมากเหลือเกิน คิด เลือกที่จะตัดสินใจกลับไป-มาหลายตลบเสมือนหนึ่งสับสนด้วย เครียดด้วย แล้วกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 คน คืนนั้นคงเป็นคืนที่ยาวนานมากกว่าผมหลายร้อยหลายพันเท่า ตอนที่คิดกลับไป-มาหลายตลบนั้นมีหลายหนทางเหลือเกิน - ชนเลยดีไม๊ - เลือกอยู่ต่อที่สไลด์เดอร์ดีไม๊ - เจรจากับไกด์ดีไม๊ - สุดท้ายผมตัดสินใจก่อนเรือถึงฝั่งที่สไลด์เดอร์ว่ากลับเมืองวังเวียง พร้อมทั้งนึกในใจพี่ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ช่วยน้องเลย ที่ผมตัดสินใจกลับวังเวียง เนื่องจากคิดว่าผมไม่ใช่ตัวละครในไดฮาร์ดหรือแรมโบ้ อยู่กลางเขาสายน้ำชอง ต่างถิ่น ใกล้ค่ำแล้ว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี หากชนผมคงไม่ได้กลับเมืองไทย อย่างหนึ่งคือ ตอนนั้นผมนึกถึงข้อความที่คุณป้อมโพสไว้ในนี้ว่า “ ที่ลาวให้ระวังคนดีมากกว่าคนร้าย ” ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สบายใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้เหตุการณ์ไม่ได้เกิดผลร้ายต่อผม เพียงถูกไกด์พยายามดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วม ทำไมผมไม่โวยวายตรงกระโดดน้ำ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นร้อยเต็มไปหมด ทำไมผมกลับถึงเมืองวังเวียงไม่เล่าให้เจ้าของรีสอร์ตฟัง ทำไมผมไม่ไปแจ้งความกับตำรวจลาว ทั้งสามกรณีผมบอกได้เลยว่าตอนนั้นนึกไม่ออก ผมไปลาวเที่ยวนี้ ตั้งใจไปไหว้พระทำบุญ ตักบาตรข้าวเหนียว แต่กลับมาด้วยความไม่สบายใจ พบเห็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่รู้ว่าตัวเองไปได้บุญหรือได้บาปกลับมา ไม่รู้ว่าตนเองเลือกหนทางถูกหรือไม่ ไม่รู้ว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือไม่ ผมนิ่งเฉยไม่ทำอะไรทั้งๆที่คาดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 คน ผมได้แต่กลับมาเตือนคนไทยด้วยกัน ไปเที่ยวลาว ผู้หญิงไปกันเอง ใช่ว่าปลอดภัย หากแต่อันตรายมาก