เอาเรื่องช็อคอัพก่อนไหม ถามว่า ทำไมช็อคอัพดีๆแพง มันก็แข็งเหมือนกับพวกอัดน้ำมัน แล้วมันดีกว่าอย่างไรกัน ผู้รู้ เคยบอกผมว่า สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนไม่ใช่การดีไซร์วาล์หรือขนาด แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่าง เห็นได้ชัดคือน้ำมันช็อคอัพ น้ำมันของพวกช็อคดีๆแพง จะใสมากไม่เหนึดเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?? ก็เพราะว่าความหนึดมันมีการเปลี่ยนแปลงความหนืดน้อยครับ เวลาที่มันทำงานเป็นระยะเวลานาน ทำให้ คงที่แน่นอนตลอดการแข่งขัน ลองคิดดูซิครับ ว่าน้ำมันเครื่องเบอร์50 กับน้ำมันเครื่องเบอร์30 ที่ อุณหภูมิห้อง มีค่าความหนืดต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าหากน้ำมันร้อนขึ้นๆ จะทำให้น้ำมันเบอร์ 50 มีความหนืด ใกล้เคียงเบอร์ 30 ส่วนน้ำมันเบอร์30นั้นก็ไม่ได้มีความหนืดต่างไปจากเดิมเท่าไหร่เลย ลองสังเกตุดู เวลาเช้าๆพวกที่อัดน้ำมันมา จะรู้สึกว่าช็อคกระด้างมาก แต่หากขับไปซักพักจะรู้สึกหนึบไม่ กระด้างเหมือนตอนแรกๆ.................ถามต่อแล้วจะทำอย่างไร ให้ถูกและประหยัดแบบบ้านๆ ผมมองว่า ช่วงล่างมันต้องทำหน้าที่ของมันให้ดีที่สุด ช็อคอัพมีหน้าที่หยุดการสั่น ไม่ใช่รองรับการกระแทก มันต้องคุยกับแหนบให้รู้เรื่องก่อน ยกตัวอย่าง แหนบเรา3แผ่นบางจ๋อย นิ่มมากจะทำให้ช่วงล่างให้ตัวได้มากยุบก็ยุบมาก หากคิดจะใส่ช็อคแข็งๆไม่ถูก เพราะว่าหากเวลามันยุบแรงๆ แทนที่แหนบจะต้านการยุบไว้ซัก 60 เปอร์เซนต์ เอาช็อคมาต้านเอาไว้ ให้มันยุบช้าๆเหมือนแหนบรถบรรทุกซะงัน หากกระแทกแรงๆ น้ำมันที่หนืดๆ รถหนักๆ กระแทกลงไป โอริงกันรั่วของน้ำช็อค คงช่วยอะไรไม่ได้แตกกระฉูดลูกเดียว กลับกัน ลองใส่แหนบให้แข็งขึ้นโดยลงไม่ใส่ช็อคแล้วกดดูว่ามันยุบจนเวอร์เช่นกระโดนกระแทกแรงๆ แล้วมันยุบตัวเกินกว่าที่เราต้องการไหมหากแหนบนิ่มมากก็จะ ยุบลงมากกระแทก เพลาได้เลย เช่น เพลาห่างจากแชสซี 3นิ้ว กระโดดแล้วยุบกระแทก ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่หากเสริมแหนบ แล้วยุบลงมาแบบเฉียดหรือกระแทกเบาๆ ถือว่าโอเคแล้ว.................เวิร์คๆๆๆ ถามต่อแล้วทำยังไงไม่ให้กระด้างล่ะ รถบ้านนะ ??~ ส่วนตัวผมเองใช้วิธีนี้ เมื่อเรารู้แล้วว่าแหนบเราแข็งถ้าทำให้ช็อคแข็งไปด้วยยิ่งทำให้กระด้าง เราก็ใช้วิธี ปรับให้ระยะยุบมันนิ่มไม่แข็ง ช็อคกดลงแบบไม่ยากเย็นนัก แต่ว่าระยะยืดดดดด เอาให้มันยืดไม่ได้เลย...........ยืดไม่ได้ยิ่งดีถามว่าทำไม ??? ก็เพราะว่าเวลายุบไปแล้วถ้าเราปล่อยให้มันยืด มันจะโยนหรือเรียกว่าสะบัด เช่น วิ่งมาโดดคอสะพานรถลอยทั้งคัน เมื่อตกถึงพื้นแหนบรับน้ำหนักแบบยุบได้ซับแรงไว้ พอจัวหวะกระเด้งขึ้นช็อคของเราหนืดมากๆๆ มันจะไม่เด้งขึ้น ดังนั้นมันจะยุบทีเดียวอยู่ ถ้า ช็อคแข็งทั้งยุบและยืด เวลาโดดลงมามันจะไม่ระยะที่ซับแรง รถจะกระเด้งขึ้นเพราะว่า ความแข็งของช็อคอัพทำให้คุมรถลำบากน่ากลัวอีกต่างหาก ถ้า ช็อคอัพนิ่มไป จะทำให้มันยุบลงมากระแทกยางกันกระแทก ถ้าไม่มียางกันกระแทก ก็เอาแคร้ง น้ำมันเครื่องรับแรงกระแทกกับถนนไปเลย.......แล้วมันก็เด้งขึ้นโยนไปโยนมาน่ากลัวกว่าอีก...... ต่อไปเป็นเรื่องมุมล้อ....
มุมล้อที่ใช้ในพีระเซอร์กิต ( ในแบบของผม ) Camber 0.0 กับ 2.5 แตกต่างกัน - Camber 0.0 หรือ แสตนดาดทั่วไป เมื่อถึงเวลาเข้าโค้งน้ำหนักรถจะถ่ายเทไปทางด้านตรงข้ามกับทางที่เลี้ยว ทำให้หน้ายางสัมพัสพื้นสนามไม่เต็มที่อาจทำให้รถเกิดอาการอันเดอร์ และกินหน้ายางด้านนอก - Camber 2.5 ขึ้นไป เมื่อถึงเวลาเข้าโค้ง น้ำหนักรถที่ถ่ายเทไปในทางตรงกันข้ามหน้ายางจะทำการรับน้ำหนักได้เต็มที่ไม่ทำให้รถเกิดอาการอันเดอร์ และการบังคับล้อในการเข้าโค้งตอบสนองดีขึ้น แต่มีข้อเสียเมื่อรถวิ่งทางตรงจะทำให้กินหน้าด้านใน Caster - Caster บวก มีผลต่อความนิ่งของล้อรถ ที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เมื่อปล่อยพวงมาลัย - Caster ลบ เหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันแบบต่างๆ ซึ่งต้องการตวามรวดเร็วในการบังคับเลี้ยวแบบทันทีทัน Toe in - Toe out - เป็นการตั้งค่าให้รถวิ่งไปในทางที่ตรง หรือพูดง่ายๆ แบะล้อเข้าหรือออก
[media]http://www.youtube.com/watch?v=9xr7ktz1_as&feature=quicklist[/media] กันโคลง http://www.youtube.com/watch?v=7P6rzwuCCf4&NR=1 ใส่กันแบบนี้
เรื่องของมุมล้อนั้นสัมพันธ์กับการถ่ายน้ำหนักเหมือนกับพี่กับน้อง เลยที่เดียว โดยปรกติรถเราวิ่งตรงๆหน้ายางมันสัมผัสถนนเต็มที่อยู่แล้ว แต่ว่าถนนหรือ สนามแข่งทางเรียบ(ที่ไม่ใช่ควอเตอร์ไมล์หรือแดร็กนั้น) มีทั้งโค้งกว้าง แคบ บีบ และหัวเข็ม สิ่งที่ตามจากการเลี้ยวโค้งก็คือ....................... ตอบให้ชื่นใจซิ
การที่รถเข้าโค้ง จะเกิดการถ่ายน้ำหนักไปด้านใดด้านนึง น้ำหนักบวกกับความเร็วของรถ จะทำให้เกิดการบิดตัว มุมองศาล้อจะเปลี่ยนไป เกาะถนนน้อยลง ควบคุมได้ยากขึ้น ไม่เหมือนรถ drag ที่วิ่งทางตรงอย่างเดียว ไม่มีการถ่ายเทน้ำหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง มุมองศาของรถ drag จึงต้องตรงที่สุด เค้าถึงได้ทำช่วงล่างแบบ four-link เพื่อช่วยในการถ่ายแรงจากล้อลงสู่พื้นถนนให้มากที่สุด ในทางกลับกัน หากนำระบบ four-link มาในรถเซอร์กิต มันก็คงจะเลี้ยวไม่ได้ 555
การที่รถเข้าโค้ง จะเกิดการถ่ายน้ำหนักไปด้านใดด้านนึง นั่นก็คือแรงเหวี่ยงหนี0กลาง มีค่าบอกเป็นG และสิ่งที่ตามหลังเกิดจากแรงGก็คือ การROLL หรือเรียกกันว่าอาการโครงนั่นเอง การโครงนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ค่าCG ถ้าต่ำมาก ก็คือรถเตี้ยเหี้ย จะเกิดการโครงน้อย ดังนั้น วิศวกรต้องออกแบบช่วงล่าง ให้รับมือกับการโครงที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเอง สปริง เหล็กกันโคลง แหนบ ทอร์ชั่นบาร์ มีหน้าที่หลัก ในการรับน้ำหนักรถก็จริง และต้านการโคลงด้วย แต่ทางเลือกอยู่ที่ความพอดี ระหว่างความนิ่มนวลกับการเกาะถนนหรือการทรงตัว ไม่มีใครซื้อแคมรี่แน่ๆ ถ้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์หรือจิบกาแฟ แล้วมันกระเด้งกระเด้าน่ะ มาเข้าเรื่องกัน ดีกว่าเข้าใจแล้วว่าแรงเหวี่ยงทำให้ช่วงล่างซ้าย ขวารับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นและอีกข้างก็ รับหน้ำหนักน้องลง รู้ไหมว่าถ้า... 1. ถ้าเราทำให้ต้วรถมีค่า CG มีค่าต่ำลง ก็จะทำให้รถเราโคลงน้อยลงด้วย ก็ทำให้เกาะถนนมากกว่าเดิม แต่มันเตี้ยมากๆ ไม่เพราะว่า ถนนบ้านเรา คอสะพานบ้านเราเหี้ย ดังนั้นเตี้ยให้พอดีพองาน 2. ถ้าเราทำให้สปริง แหนบ หรือทอร์ชั่นบาร์ แข็งขึ้น รถจะมีการโคลงน้อยลง แต่มันก็มีทั้งข้อดีและ ข้อเสียคือ จะทำให้แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านมายังห้องโดยสารหรือตัวรถมากขึ้นทำให้ไม่รู้สึกสบายดัง นั้นก็ให้แข็งขึ้นจะดีกว่า 3 เมื่อรถของเราแข็งขึ้นเพราะเราเพิ่มค่าK (แหนบ สปริง ทอร์ชั่นบาร์) จะทำให้เมื่อเกิดการสั่นสะเทือน ช่วงล่างมันจะดีดดิ้นมากขึ้น ช็อคอัพ ต้องทำให้มันหนึดขึ้นเพื่อสยบ ความแรดของช่วงล่าง 4 สิ่งที่เป็นเหมือนทางลัดเลยก็คือเหล็กกันโคลง ชื่อมันก็บอกหน้าที่ของมันอยู่แล้ว ยิ่งใส่แข็งมาก เท่าไหร่ จะยิ่งทำให้แรงG วิ่งไปซ้ายขวามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้พวงมาลัยคมขึ้นจริงๆ คมขึ้นเพราะอะไร ทำไมเกาะถนนดีขึ้น มามองดูเนื้อหนังมังสากันดีกว่าเอาให้ถึงอนาโตมี่กันเลย โดนปรกติเมื่อเกิดแรงG ทำให้เกิดการถ่ายน้ำหนักจากอีกฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วรถก็เอียง เพราะว่า ช่วงล่างรับหนักมากขึ้น จากน้ำหนักที่ถูกถ่ายมา เวลาเอียงก็จะทำให้ล้อเอียงตามไปด้วย เมื่อล้อเอียง ไม่ตั้งฉากกับพื้นผิวถนนแล้ว จะทำให้หน้าสัมผัสยางน้อยลง สิ่งที่ตามก็คือค่าความเสียดทานน้อยลง ทำให้เกิดอาการ อันเดอร์หรือโอเวอร์เสตีย.......... แต่วิศวกรก็รู้ไม่ใช่ไม่รู้ จึงออกแบบให้รถเมื่อยุบตัวแล้ว ล้อแบะหรือทำให้แคมเบอร์น้อยลง อย่างนี้ก็เข้าโค้งดีอยู่แล้วน่ะซิ....ไม่ใช่ครับ เพราะว่า เค้าออกแบบ มาให้แบะก็จริงแต่ไม่เพียงพอ เพราะว่าถ้าทำให้ล้อแบะเข้าออกเร็วจะทำให้เวลาวิ่งทรงแล้วเกิดการยุบ ตัวตรงๆเช่นโดดเนิน จะทำให้ล้อแบะพร้อมกัน2ข้าง ทำให้ยางเกาะถนนได้ไม่เต็มหน้า จะไม่ปลอดภัย เค้าก็เลยออกแบบมาให้กลางๆ เหมือนเป็ด ที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่ดีซักอย่าง........ ดังนั้นแรงเข้าโค้งแรงกว่ารถบ้าน ก็เอียงมากกว่ารถบ้าน ก็ต้องแบะล้อเผื่อให้มันสัมพันธ์กับการเอียง ของตัวรถ.............ถ้าล้อ แบะ มากไปเวลาเลี้ยว มันจะเริ่มล้อแบะไม่พอดี(วิ่งทางตรงล้อแบะไม่เกาะถนน)เริ่มเลี้ยว รถเอียงทำให้ ล้อสัมผัสถนนมากขึ้นมากๆ จนสัมผัสเต็มที่ .....ก็จบ อาการที่ออกมาก็คือ..........โอเวอร์เสตียริ่ง เพราะว่าถ้าถ้าเกาะๆมากจะสร้างแรงเหวี่ยงได้เยอะ ทำให้ท้ายเบาๆ ปัดได้ แบะ น้อยไปเวลาเลี้ยว.... จะทำล้อสัมผัส.....พื้นผิวที่ต่างกัน ทำความเข้าใจให้ดี เริ่มจากมากทางตรง แล้วเริ่มเลี้ยวแรงเหวี่ยงทำให้ล้อเริ่มสัมผัสหน้ายางได้เต็มที่ แต่พอเลี้ยวแล้วซัก50 เปอร์เซนต์ ของการ เลี้ยวล้อสัมผัสหน้าเต็มที่ให้การเกาะถนนดีที่สุด แต่แรงเหวี่ยงยังเพิ่มขึ้น ทำให้ยางสัมผัสถนนน้อยลง ก็ทำให้การเกาะถนนน้อยลงตามไปด้วย นึกถาพออกไหม วิ่งทางตรงยางขอบในสัมผัสมาก พอเลี้ยวไป ได้ครึ่งนึงรถเอียงทำให้ยางสัมผัสเต็มหน้าเกาะดี(แต่เราต้องเลี้ยวมากกว่านี้)แล้วเต็มที่ล้อแบะสุดแล้วแต่ รถยังเอียงเพิ่มขึ้นทำให้ล้อกินยางขอบนอกทำให้เกาะถนนแย่ลง ทำเกิดอาการ ...........อันเดอร์เสตียร์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ จะรู้ว่า รถแต่ละคันไม่เหมือนกัน อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่า เอียงมากแค่ไหน ถึงจะรู้ ว่าล้อมากน้อยแค่ไหน เช่นถ้าแบะมากใช่ว่าจะดี........แบะมากยังอันเดอร์ก็ได้เชื่อไหม เพราะว่าล้อแบะไป -4 ช่วงล่างแข็งโป๊กไม่เอียงเลย เวลาเข้าโค้งแล้วรถเอียงไป 2 องศา ทำให้ยากก็ยัง กินแต่ด้านในไม่กินเต็มหน้าจะได้แรงเกาะที่ดีที่สุดซักที ก็ทำให้อันเดอร์ได้เหมือนกัน............. แล้วถามว่าแบบไหน ดีกว่ากันวิ่งแล้วเร็วกว่ากัน............ ตอบคือ แบะน้อยไว้ก่อนเหตุผลก็คือ การที่ล้อเราแบะน้อยทำให้เข้าแรงๆคือเลี้ยวมุมแคบๆรถอันเดอร์ ทำให้คนขับไม่เลี้ยวมุมแคบพยายามเลี้ยวมุมกว้างๆไว้ก่อนก็เลยทำให้ใช้ความเร็วได้มากกว่า บวกกับ หน้ายางก็จะสัมผัสพื้นได้เต็มที่แน่นอนและรักษาการเกาะเอาไว้ โดยไม่เข้าแรง แต่เลี้ยววงกว้างจะสอน นักขับไปในตัว ทำให้เวลาที่ดีกว่า แต่หากนักขับที่เป็นมืออาชีพนั้นไม่ใช่ เพราะว่าต้องใช้ไลน์การขับ แตกต่างออกไปเพื่อนแซงเพื่อบัง ดังนั้นต้องมีการเลี้ยวมุมแคบๆอยู่เสมอ..........จึงต้องรักษากริบไว้ให้ได้ นั่นเอง
รถกระบะมีขีดจำกัดความเตี้ยอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็เตี้ยได้ไม่มาก แต่เตี้ยแล้วมันดียังไงว่ะ ก็เพราะว่า เวลาเตี้ยวมันทำให้ค่าCG ต่ำ มันก็จะทำให้รถเรามีความมั่นคง ไม่เอียงไม่โคลง นั่นเอง ดังนั้นเราก็พึ่งพาช่วงล่างได้น้อยลง เหล็กกันลงเล็กลงอะไรเล็กลง ยิ่งทำให้เบา ยิ่งทำให้แรงม้าต่อน้ำหนักน้อย ก็ทำให้อัตาเร่งดี เวลาวิ่งต่อรอบในสนามย่อมดี................ ที่สุดของที่สุดผมอยากจะบอกว่า เราไม่ต้องทุ่มทุนสร้างอลังการงานสร้างกะช่วงล่างมากก็ได้ เราให้ทักษะฝีมือของเราให้ดีที่สุดก่อน ผมว่าเสียเงินเป็นหมื่นๆ กับการเสียเวลาซ้อม และได้รับ การชี้แนะอย่างถูกต้องทำให้เวลาต่อรอบดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่า เพราะว่าทำช่วงล่าง ไป 100000นึง เข้าโค้งได้ 120 กมต่อชั่วโมงไม่หลุด แต่คนขับ วิ่งแต่ 90 ไม่เคยเพิ่มเลยแล้วเวลามันจะดีขึ้นไหม .....
โค้ชครับ ผมอยากสอบถามหน่อยนะครับพอดีรถผมไปโหลดมาประมาณ4นิ้วครับ แล้วมันเด้งครับ ตอนบรรทุกนิ่มดีครับ บรรทุกนี่ก็ประมาณว่าเอามอไซขึ้นหลังรถน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ผมว่าจะเอาไปยกขึ้นอีกครึ่งนิ้ว แล้วมันจะเหมือนเดิมหรือป่าว ตอนนี้รถผมด้านเป็นแก๊สครับ ส่วนหลังเป็นน้ำมันครับ แล้วรถโค้ชใช้แบบไหนครับ ขอคำแนะนำหน่อยครับ ขอบคุณมากๆครับ