เพื่อเป็นข้อมูลในการดูแลตัวเองนะคับ copy มาจาก FW:mail เรื่องของเรื่อง ลูกเรา (6 ขวบกว่า) ป่วยก่อน เมื่อ 2 วันก่อนเค้ามีอาการปวดหัวรุนแรงและไข้สูงมาก ให้ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ยอมลดลง เช็ดตัวก็แล้วทำอย่างไรๆ ไข้ก็ไม่ลดลง เราเลยตัดสินใจพามา รพ. เมื่อพบหมอ เรายืนยันกับหมอว่าเราจะขอทำ Screen Flu (เป็นการ Screen หาความเสี่ยงเบื้องต้น) การทำ Screen Flu หมอจะทำให้เฉพาะผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ เช่นคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยตรง แต่ลูกเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ทุกคนที่บ้านแข็งแรงดี โรงเรียนก็รักษาสุขอานามัยอย่างดี เราไม่พาลูกไปในที่ชุมชนและไม่ให้ว่ายน้ำในสระมาเดือนกว่าแล้ว จึงไม่ควรจะติดเชื้อได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ยืนยันกับหมอว่าเราจะขอ Screen ลืมบอกไปว่าลูกเรา (และเราด้วย) ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ธรรมดา) ไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาคงจะไม่มีแน่ๆ และเมื่อผล Screen ออกมาในครั้งนั้นปรากฎว่าลูกเราเป็น Negative (หมายถึงไม่ติดเชื้อในกลุ่มของ H1N1) เราและหมอยังไม่นิ่งนอนใจ เราเลยขอหมอ Admit เพื่อความสบายใจ เนื่องจากลูกเราไข้สูงมาก (โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 39 องศา) คุณหมอให้เราพักที่โรงพยาบาลตามที่เรา Request และเมื่อถึงตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมและขอนำเชื้อไปทำ Screen Flu อีกเป็นครั้งที่ 2 เรายินดีตามที่หมอเสนอ เพราะหมอให้ความเห็นว่า เมื่อการตรวจครั้งแรกนั้น ระยะห่างระหว่างการจับไข้กับการตรวจห่างกันแค่ 4 ชั่วโมง อาจจะยังไม่ปรากฎการติดเชื้อให้เห็นชัด แต่ถ้าไข้ยังสูงขนาดนี้ขอตรวจอีกครั้งเพื่อความชัวร์ดีกว่า เมื่อผลตรวจออกมา ลูกเรา Positive จริงๆ และหมอถามเราว่าต้องการส่งตรวจหา 2009 ต่อหรือเปล่า แต่เราปฏิเสธเพราะทั้งหมอและเรารู้อยู่แล้วว่าลูกเราติดเชื้อแน่ๆ (เค้าไม่มีทางเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดา เพราะเพิ่งฉีดวัคซีนไป และข้อบ่งชี้ค่อนข้างเด่นชัด) อ้อ .. ลืมบอกไปอีกว่าถ้าผล Screen Flu ออกมาเป็น Positive จะมีความหมายว่า มีโอกาสติดเชื้อด้วยกัน 3 ตัวคือ H1N1 ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา, H1N1 ไข้หวัดใหญ่ 2009, และตัวสุดท้ายคือ H2N3 ซึ่งคนไทยไม่ค่อยเป็น ซึ่งถ้าติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งใน 3 ตัวนี้ วิธีรักษาจะเหมือนกันทั้ง 3 ตัว ดังนั้นถ้าผลการตรวจออกมาเป็น Positive หมอจะถามว่าต้องการให้ส่งตรวจ Final เพื่อดูว่าเป็นไข้หวัด 2009 หรือไม่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 2,500 บาท แต่หมอก็จะบอกว่าแต่อย่างไรก็ตามวิธีการ treat ก็เหมือนกันกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่นๆ อยู่แล้ว และเมื่อเราไม่ส่งตรวจเพื่อ Final ข้อมูลของลูกเราก็จะไม่ถูกส่งไปที่ สธ. และอยากจะบอกว่า วันที่ลูกเรามา รพ. นั้น เชื้อได้เข้าไปถึงหูชั้นในและโพรงจมูกแล้ว ซึ่งระยะเวลาจับไข้กับการพบหมอห่างกันเพียง 4 ชั่วโมง ซึ่งอยากจะเตือนทุกท่านว่าเชื้อตัวนี้แรงและแพร่เร็วมาก อย่านิ่งนอนใจถ้าท่านหรือบุตรหลานของท่านมีไข้สูง ปวดศรีษะมาก ขอหมอตรวจเพื่อให้ละเอียดเลยดีกว่าค่ะ หลังจากเรามาเฝ้าลูกเพียงแค่วันเดียว ปรากฎว่าเราเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและเป็นไข้ ไอไม่หยุด เราจึงรีบไปตรวจ ปรากฎว่าเราก็ติดเชื้อเหมือนลูกแต่ที่น่ากลัวคือ เราเป็นไข้แค่ 3 ชั่วโมงแต่เมื่อไปตรวจ ปอดของเราเริ่มมีอาการติดเชื้อแล้ว ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อาจจะเป็นปอดอักเสบ หรือโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นๆ ได้ วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เราอยู่ รพ. อาการของลูกดีขึ้นมาก และจะกลับบ้านวันนี้แล้ว ส่วนเรายังอ่อนเพลียอยู่ ยังมีอาการปวดตามตัวอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นจากเมื่อวานเยอะมาก และคงจะขอหมอกลับบ้านพร้อมลูกเลย อยากเตือนว่า ไข้หวัด 2009 ติดง่าย ป่วยไว ลุกลามไว ติดเชื้อไว แต่รักษาง่าย หายไว ถ้ารีบรักษาภายใน 48 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าท่านหรือคนใกล้ชิดท่านป่วยมีไข้ ปวดศรีษะ ปวดตามตัวและไอ อย่านิ่งนอนใจ รีบตรวจโดยด่วนเลยค่ะ ด้วยความปรารถนาดีค่ะ เพิ่งหายจากไข้หวัด 2009 รักษาสุขภาพกันด้วยนะคับน้องๆทุกคน
เอาวิธีการป้องกันมาบอกครับ แฟนเป็นพยาบาลแนะนำมา 1 . เชื้อส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านทางมือเราเนี่ยแหละครับ เช่นกด ปุ่มลิฟ เปิดประตู หรืออะไรที่ต้อง ใช้ร่วมกันหลายๆคน พอจับลูกบิดประตู เราก็หลงๆลืมๆ เอามือมาจับของกิน หรือมาลูบหน้า เราก็จะติด เชื้อครับ เพราะเวลาไอคนคนที่ติดเชื้อจะเอามือปิดปาก เชื้อก็จะติดอยู่ที่มือเป็นส่วนใหญ่ครับ วิธีป้องกัน คือ ล้างมือบ่อยๆ หาซื้อเจลล้างมือหรือแอลกอออล์ พกไว้ ก็จะช่วยป้องกันได้ครับ 2. ติดจากการไอหรือจาม ถ้าอยู่ใกล้กันมากๆ ใส่หน้ากากแบบ ทั่วไป รับรองติดแน่ๆ ต้องให้หน้ากาก แบบพิเศษหรือเรียก ว่า หน้ากากจมูกหมู ครับ แต่ถ้าไม่โดนแบบเต็มๆ น้ากากทั่วไปก็เอาอยู่ ครับ แต่เคสนี้น่าจะน้อยครับ
FW:mail มาใหม่คับ "เบื้องต้น บังเอิญมีหมอที่มีความรู้ในด้านการแพทย์แผนจีน และ เภสัชกรท่านหนึ่ง ได้แนะนำมาเรื่องการป้องกันไวรัส2009ง่ายๆ ให้กับผมมานะครับ พอดีกำลังนั่งดูรายการสรยุทธช่อง3 ช่วงเย็น ที่สัมภาษณ์ เภสัชกรจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศ เรื่อง อาหารต้านไวรัส ซึ่งได้แก่พวก ขิงแก่ กระเทียม พวกนี้ จึงนึกถึงเรื่องนี้ออก ให้ใช้นำมันเหลือง หรือพวกยาดมน้ำ วาเป้กซ์ ยาหม่อง ยาหม่องน้ำ หรือ พวก เซ็งชิมอิ้ว อะไรพวกนี้ ซึ่งมีคุณสมบัติ เผ็ดร้อนเย็น ไวรัสที่เป็นไข้หวัดตอนนี้ เป็นไวรัสที่เข้าทางจมูกลงปอดเป้นส่วนใหญ่ เป็นสาเหตุของโรคหวัด และ เชื้อขณะนี้ เป็นเชื้อที่อยู่แพร่หลายตามอากาศ ซึ่งอากาศในขณะนี้เป็นช่วงเย็น ร้อนชื้น เหมาะกับการแพร่กระจายของไวรัส ซึ่งไวรัสจะตายเมื่อเจออากาศร้อนๆ ภายในเวลา ไม่กี่นาที ดังนั้น ถ้าเราใช้หน้ากากป้องกันโรคแล้วเราทาพวกยาดมน้ำที่หน้ากากบริเวณจมูก จะช่วยทำให้ไวรัสที่มาเกาะ อ่อแอลง และถ้าเข้าทางร่างกายก็อ่อนแอมาก และ เพียงพอที่ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาได้ หรือถ้าเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็ใช้ยาดมพวกนี้ ทาที่รูจมูก บ่อยๆ เพื่อให้ไวรัสที่หลุดเข้ามาอ่อนแอลง ถ้าเราทำแบบนี้ สัก 2-3 อาทิตย์ ไวรัส ก็เริ่มหมดไปแล้วครับ เพราะไม่มีพาหะนำโรคอีกต่อไป และ เมื่อวัคซีนทำเสร็จเดือน ตุลาคม ก็เพียงพอที่เราจะช่วยควบคุมโรคร้ายนี้ไม่ให้ กระจายไปมากกว่านี้ ช่วยกันบอกต่อไปด้วยนะครับ ดีกว่าใส่หน้ากากอย่างเดียว" ดูแลตัวเองกันให้ดีๆนะคับ