ผมมีความคิดที่จะเขียนบทความมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ ไม่แน่ใจว่าจะถูกใจกันหรือไม่ ลองเขียนเล่นๆ มา 2 - 3 บทแล้ว แต่ไม่รู้จะลงที่ไหน เลยเอามาลงให้อ่านกันหนุกๆ ชี้แนะได้นะครับ หรือท่านใดจะช่วยเขียนถึงประสบการณ์ที่ได้เจอก็ได้ มาแชร์ความคิดกันครับ เริ่มเลยนะ
ผมจำไม่ได้แล้วว่า เป็นคนรักการอ่านตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แต่ว่าชอบขับรถ ชอบดูแล ชอบซนรื้อนู่นรื้อนี่ไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งวันนี้ ผมพยายามเอาทั้ง 2 อย่างมารวมกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวนัก เหมือนเด็กๆเขียนหนังสือ แต่สิ่งที่ผมจะพยายามถ่ายทอดออกมานั้น อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่าน นำกลับไปคิด ก่อนจะตัดสินใจเชื่อ เพื่อให้ได้ถึงองค์ความรู้ที่แท้จริง บางเรื่องอาจจะไม่มีสาระเอาซะเลย แต่การที่คนเราได้ไร้สาระบ้าง มันจะเป็นไรไป นายช่างใหญ่ของหมู่บ้าน เป็นธรรมดาที่คนบ้านนอก จะเข้ามาทำงานและดำรงค์ชีวิตในเมืองใหญ่ ตัวผมเองก็เป็นอีกคนนึงที่เข้ามาหาความรู้ตลอดจนทำงานในกรุงเทพที่หาเช้ากินค่ำทั่วไป แต่ผมไม่มีทางลืมกลิ่นของดิน กลิ่นของโคลน ที่บ้านนอกได้เลย ในทุกๆเดือน อย่างน้อย 1 ครั้งผมจะขับรถเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปหาครอบครัว ซึ่งการเดินทางในแต่ละครั้งใช้เวลาไม่นานนักครับ โชคดีที่จังหวัดที่ผมอยู่ไม่ได้ไกลมากมายนัก เดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงอย่างไม่ต้องรีบร้อน ซึ่งคนส่วนใหญ่เวลาจะเดินทางจะใช้เวลากลางวันหรือก่อนค่ำ เพื่อความสะดวกในการเดินทางหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ต่างกับผมที่ถึงแม้จะว่างทั้งวันแต่ไม่กลับ จะเริ่มออกจากกรุงเทพราวๆ 1 ทุ่ม หรือดึกกว่านั้น เพื่อให้ได้ถึงความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นถ้อยคำว่าอย่างไร แต่มันมีวิธีครับผมอยากแนะนำให้ ลองขับรถเปิดกระจกด้วยความเร็วประมาณ 80 หรือมากกว่านั้น ตามชอบ แล้วรอถนนว่างๆ (แนะนำว่าเป็นถนนที่มีเกาะกลางจะดีกว่า) ยื่นมือขวาออกไปกางมือออกเพื่อสัมผัสกับอากาศนอกรถครับ ปล่อยใจให้สบาย แต่อย่าหลับตานะ เด๋วงานเข้า ผมไม่รับรองว่าจะรู้สึกเหมือนกันทุกท่านหรือไม่ แต่ผมทำแบบนี้ทุกครั้งที่กลับบ้าน มันแหล่มมากๆ หรือถ้าใครความรู้สึกไม่ดีพอ แนะนำให้เปิดกระจกด้านซ้าย แล้วเอามือขวายื่นออกไปแทนครับ ............. (อย่าเลยนะ จ๋าขอ) ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ซึ่งความจริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ ก็จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย สิ่งที่ผมขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือเปิดกระโปรง ... รถครับ ไม่รู้จะเปิดทำไม ถอดโน่นถอดนี่ ทั้งๆที่ดีอยู่แล้ว เคยถึงขั้นต้องตามช่างมาใส่ให้ก็มี และเป็นธรรมดาของบ้านนอกที่เด็กจะวิ่งเล่นกันไปมา เลยเกิดอาการอยากโชว์ครับ ถอดหม้อกรองออกมาแล้วใส่ให้เด็กๆดู “โอ้ว ... จอร์จ มันยอดมาก” เด็กคนนึงร้องขึ้น และรีบวิ่งกลับบ้านไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของมัน แป๊ปเดียวครับ วิ่งกลับมาพร้อมกับล้อรถถีบของเด็ก 2 ล้อแล้วบอกผมว่า “พี่ ซ่อมรถให้หนูหน่อย” งงดีคับ มีล้อมา 2 ล้อเนี่ยะนะ บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ ผมกับมันจ้องตากัน แล้วน้ำตาเด็กน้อยก็เอ่อออกมา ... ซ่อมครับ พี่ซ่อมก็ได้ค๊าบบบบ โชคยังดีที่สภาพรถถีบคันนั้นแค่หักกลางกลับล้อหลุด ล้อหลุดก็เอาน็อตเบอร์ 10 ไขให้ไปครับ ไม่ยากอะไร แต่หักกลางเนี่ยะ งานใหญ่ ก็แก้โดยใช้กาวเทพ (ตราช้าง) กับเหล็กรูสารพัดประโยชน์มัดด้วยลวดอีกขดใหญ่ พอเป็นรูปเป็นร่าง เด็กๆก็เริ่มกระโดดตบมือไปมา เหมือนดีใจว่ามันจะวิ่งได้ ด้วยความเป็นคนอ่อนโยนเลยถามไปว่า “เล่นยังไงครับเนี่ยะ หักกลางเลย” เด็กๆหยุดกระโดดในทันทีแล้ววิ่งมาสาธิตวิธีฆาตรกรรมรถถีบให้ผมดู คนแรกขึ้นนั่งตามปกติ คนที่ 2 ยืนบนคานหลัง คนที่ 3 นั่งบนแฮนด์ .... อ๋อ ผมร้องด้วยความหายข้องใจ และรีบเดินเข้าบ้านในทันที แต่ยังทันได้ยินเสียงดัง “กร๊วบ” ด้านหลัง พร้อมเสียงหัวเราะของเด็กๆ จิตใจอันอ่อนโยนของผมก็ได้แต่คิดว่า “ไอ้เด็กเอี้ยะเอ้ย” หลังจากนั้นมา ไม่ว่าจะเป็นรถบังคับ เรือใส่ถ่าน จักรยาน หรือแม้แต่หม้อหุงข้าว (อันนี้ซ่อมไม่ได้ วิชาไม่ถึงขั้น) ก็ถูกเด็กๆกลุ่มนี้ยกมาให้ช่วยดูซะเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ได้เบื่อเลยที่ต้องออกมาหาเด็กๆที่หน้าบ้านเวลามันพร้อมใจกันตะโกนเรียก แต่มองในทางที่ดีว่าในวันนึง เด็กเหล่านี้จะมองเห็นความช่วยเหลือที่ผมมีให้พวกเค้านั้น และนำมันติดตัวไปใช้กับคนที่เค้าสามารถช่วยเหลือได้ เพื่อให้สังคมมันน่าอยู่ขึ้น อาจจะหวังไกลไปหน่อย เพราะตอนนี้มันยังไม่โตกันเลย แต่ก็ไม่เสียหายนี่ครับ ที่จะช่วยเหลือกัน พวกคุณเคยมีเพื่อนอายุ 9 ขวบหรือเปล่า ถ้ายัง มาช่วยผมซ่อมเครื่องซักผ้าหน่อย สภาพโคตรเน่าเลยขอบอก
พี่ตั๋น สุดยอดครับพี่ .... จากใจเด็กบ้านนอกเหมือนกาน เห็นภาพไม่ต้องนึกเลย เป็นกำลังใจให้ครับ + อ้างถึง ตอบกลับ