Laos Trip ตอนที่ 4 : Day 3 วันแห่งวังเวียงที่สุดแสนจะวิงเวียน

การสนทนาใน 'Food & Travel' เริ่มโดย Emporio, 1 กุมภาพันธ์ 2010

< Previous Thread | Next Thread >
  1. Emporio

    Emporio Active Member ทีมงานสมาชิก Super Moderator

    378
    35
    28
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เช้าวันใหม่ แสงอาทิตย์แรกแห่งปี 2010 สาดส่องทั่วบริเวณ
    ยอดเขาสูงสลับซับซ้อนยังปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกในยามเช้า
    แสงสีทองสาดส่องจากด้านหลังภูเขาเห็นเป็นเส้นลำแสงผ่านขอบภูเขา
    เปรียบเหมือนลำแสงจากเครื่องฉายหนังในโรงหนังที่คนเมืองอย่างเราเห็นจนชินตา
    หากแต่จะต่างกันตรงที่ เครื่องฉายหนังที่เกิดจากธรรมชาตินี้ เป็นเครื่องฉายหนังที่ฉายเรื่องราวมากมายของชีวิต
    ฉายวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของมวลมนุษยชาติ เป็นหนังหลายตอนที่ไม่มีวันจบ ฉายไปเรื่อยๆ .... พอเห๊อะ คิดพล๊อตเรื่องไม่ออกแล้ว ไม่รู้จะต่อยังไง
    กลับมาเล่าเรื่องสไตล์ผมดีกว่า เล่าแบบข้างบนมันดูน้ำเน่าเกินไป ...

    [​IMG]

    [​IMG]

    เช้าวันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อเข้ามาในตัวเมืองวังเวียงครับ มา 2 คนกับน้องแพน ปล่อยครอบครัวพี่เก่งนอนกันไปก่อน
    ภาระกิจสำคัญของผมคือมาหาที่พักคืนต่อไปให้ได้ที่เหมาะๆ สวยๆ ได้วิวความเป็นวังเวียง
    7 โมงเช้าผมก็ได้จอดรถเดินเล่นหาที่พักริมน้ำ ซึ่งมันยังเช้าเกินไปครับ ที่พักบางที่คนดูแลยังไม่ตื่นเลย
    บนถนนดินเส้นนี้มีตลาดย่อมๆครับ ขายผักขายปลาตามวิธีชาวบ้าน และมีการใส่บาตรกันด้วย
    ถือเป็นการทำบุญวันแรกของปี ซึ่งผมไม่ได้ใส่ T-T

    [​IMG]

    [​IMG]

    บรรยากาศตอนเช้าดีมากๆครับ เริ่มมีผู้คนที่ตื่นเช้าออกมาชมวิว ถ่ายรูป

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    วันนั้นหมอกไม่เยอะ แทบจะไม่มีเลย อากาศก็ไม่ได้หนาวอย่างที่คิด เนื่องจากยังเช้าเกินไปผมจึงเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา
    และก็ได้เดินข้ามน้ำไปบนเกาะกลางน้ำของลำน้ำซอง ตรงนั้นมีลักษณะเป็นหาดที่เต็มไปด้วยหินเกลี้ยงๆกลมๆ
    มีคนต้อนควายมากินน้ำแถวๆนั้น บอกได้เลยว่าบรรยากาศสวยมากๆ ยังนึกเลยว่าทำเลแบบนี้
    ถ้าขับรถมาเที่ยวกันซัก 3 - 4 คัน มากางเต้นท์นอนกันตรงนี้ กลางคืนก่อกองไฟนั่งกินเบียร์เย็นๆ นั่งคุยกันไป
    เช้ามาตื่นออกมาเจอบรรยากาศแบบนี้อีกคงเป็นบรรยากาศที่สุดยอดมากๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ควายยิ้มได้

    [​IMG]

    นอกจากควายจะยิ้มได้แล้วควายยัง....ได้ด้วย

    [​IMG]

    ควายแม่ลูกครับ

    [​IMG]

    ฝรั่งมานั่งกินบรรยากาศตอนเช้าริมน้ำซอง

    [​IMG]

    [​IMG]

    รถมอเตอร์ไซค์ก็มาจอดกินบรรยากาศริมน้ำซอง

    [​IMG]

    อาคารที่พักริมน้ำซอง ที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอยู่หลายที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    บ้านพักบนเกาะกลางน้ำ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    บริเวณนั้นมีชาวบ้านกำลังเก็บผักที่ปลูกไว้

    [​IMG]

    คุณยายกำลังเหวียงแหจับผักขึ้นมาจากแม่น้ำครับ ^_^

    [​IMG]

    วิถีชาวบ้านที่ยังพอมีให้เห็นได้บ้างในเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยฝรั่งแบบนี้

    [​IMG][/img]

    แต่แล้วเมื่อถึงเวลาที่จะเดินข้ามแม่น้ำกลับ เมียสุดที่รักทำรองเท้าหลุดครับพี่น้อง
    ผมพยายามวิ่งตามแล้ว แต่คว้าไม่ทัน มันไหลไปตรงช่วงที่น้ำลึกจนไม่สามารถตามไปเก็บได้

    [​IMG]

    งานเข้าเลยทีนี้ จอดรถไว้ก็ไกลอยู่ ก็คงเดี๋ยวขึ้นไปหาซื้อรองเท้าให้ใหม่แล้วกัน
    ผมจึงให้น้องแพนยืนรออยู่ตรงแถวๆนั้นก่อน เดี๋ยวเดินขึ้นไปซื้อรองเท้าแล้วเดินเอาลงมาให้
    ระหว่างที่เดินจะขึ้นไปซื้อรองเท้า ผมเลือกที่จะเดินไปทางที่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเพราะจะถึงตรงชุมชนเร็วกว่า
    ทันใดนั้น ผมเหลือบเห็นโอกาสบางอย่างในแม่น้ำ ... โอ้ช่วงนี้มันเป็นช่วงตื้นของแม่น้ำอีกช่วงนี่หว่า

    [​IMG]

    ภารกิจกู้ชีวิตรองเท้าจึงเกิดขึ้น ผมเดินตัดพงหญ้าลงไปริมน้ำครับ
    แล้วมองหาทำเลเหมาะที่จะไปรอรับรองเท้าเมียที่กำลังลอยมาอย่างไร้ทิศทาง
    ยังดีที่ช่วงน้ำลึกที่รองเท้ามันลอยอยู่น้ำมันไหลเอื่อยๆรองเท้ามันเลยยังไม่ลอยพ้นช่วงตรงนั้นไป

    [​IMG]

    แต่ช่วงน้ำตื้นเนี่ยะ น้ำมันจะแรงกว่าหน่อย ผมเล็งทิศทางของกระแสน้ำแล้วมองจุดที่เหมาะๆได้จึงเริ่มลงน้ำ
    น้ำแรงปานกลางครับ ไม่ได้แรงจนอันตราย แต่ที่อันตรายคือหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำลื่นมากๆ
    เพราะช่วงน้ำตื้นตรงนั้นไม่ใช่ทางที่คนหรือรถจะมาผ่าน จึงมีตะไคร่เต็มไปหมด แต่ผมก็ยังฝืนข้ามไปให้ถึงจุดที่เล็งไว้
    เพียงเพราะเป็นห่วงรองเท้าครับ Adda จากเมืองไทย อุส่าห์พามันมาถึงเมืองลาว จะปล่อยมันลอยน้ำกลับไทยก็กลัวมันจะหลง

    [​IMG]

    และแล้ววินาทีสำคัญที่สุดก็มาถึง รองเท้าผ่านช่วงน้ำเอื่อยเข้าสู่ช่วงน้ำเชี่ยว ทิศทางเริ่มเปลี่ยนไป
    ผมคิดในใจ ฉิบหายแล้ว เล็งกระแสน้ำผิด 555 รีบย้ายที่โดยด่วน พลาดตรงนี้ไปนี่ก็ไม่มีที่ให้ไปดักเก็บได้อีกแล้ว
    และในที่สุด... ภารกิจก็ลุล่วงครับ เลยจากช่วงน้ำเชี่ยวก็เป็นน้ำเอื่อยอยู่ช่วงนึง
    ทำให้ผมสามารถกู้รองเท้า Adda จากเมืองไทยพามันกลับบ้านเกิดได้อย่างชื่นมื่น ^_^

    เอาล่ะ เสียเวลามามากพอแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นไปเริ่มหาที่พักดีกว่า หลายๆที่นักท่องเที่ยวเริ่ม CheckOut แล้วครับ
    ผมเริ่มเดินถามหลายๆที่ ซึ่งเริ่มว่างกันแล้วในทุกๆที่ครับ ราคาอยู่แถวๆ 400 - 800 บาทแล้วแต่ว่าจะเป็นห้องแบบไหน
    ราคาตาม Option ที่มีในห้องพัก และจำนวนเตียง

    ตรงนี้ที่พักแพงพอสมควรครับ คิดราคาเป็นเหรียญ แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวและมีบริเวณที่กว้างมากๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ราคาห้องพักของรูปด้านบน

    [​IMG]

    ส่วนอันนี้เป็นราคาห้องพักที่นึงที่เป็นอาคารวิวริมน้ำซอง เช้าๆแบบนี้ว่างทุกที่ครับ

    [​IMG]

    ผมยังไม่ตัดสินใจจองที่ไหนเลยเพราะอยากเดินไปถามอีกทีนึงก่อน
    ซึ่งเมื่อวานเจ้าของคุยกับผมอัธยาศัยดีมากๆ และแนะนำทุกอย่างให้เราดีมากๆ
    เมื่อผมแวะไป เค้าว่ามีห้องว่างแล้วครับ บ้านเป็นหลังเลย ห้องใหญ่ ราคา 1200 แอร์+น้ำอุ่น+ทีวี+Internet ครบ
    บ้านติดริมแม่น้ำ วิวเป็นแม่น้ำและภูเขา ทำเลดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ราคาสูงไปหน่อย แต่เห็นว่าบ้านหลังใหญ่ และว่างอยู่ 2 หลัง จึงถามไปว่า ถ้าผมนอนรวมกันหมด 5 คนได้ไหม
    พี่เพิ่มราคาไปหน่อยก็ได้ คือทางผมจะได้ประหยัด พี่ก็ได้เงินส่วนต่างเพิ่ม
    เพราะยังไงอีกหลังที่เหลือพี่ก็ขายลูกค้าได้อยู่แล้ว ช่วงเทศกาลที่พักพี่เต็มทุกวันอยู่แล้วนี่
    เจ้าของก็เลยว่า ได้เลย คนไทยถือเป็นพี่น้องหมู่เฮา เราขอคิดราคาเพิ่มเป็น 1500 แล้วกันเตียงเสริมเรามีให้

    บ้านพักริมน้ำของที่นี่ครับหันหน้าเข้าแม่น้ำเลย

    [​IMG]

    วิวหน้าห้องพัก

    [​IMG]

    ผมจึงบอกไปว่า เดี๋ยวขอไปคุยกับเพื่อนๆก่อนแล้วกันว่าจะเอาหรือเปล่าเดี๋ยวรีบมาบอก
    เค้าบอกว่า เร็วๆนะ บ่แม่นว่าจะอยากรีบเอาเงินนะ เพราะยังไงเดี๋ยวจะมาไม่ทันเพราะมันจะเต็มไปซะก่อน เดี๋ยวอ้ายจะหาที่พักไม่ได้แบบเมื่อคืนอีก
    ผมก็เลยถามเค้าว่า นี่ยังเช้าอยู่เลยจะเต็มอีกแล้วหรอ เค้าบอกว่าซัก 10.30 ก็จะเต็มแล้วแหละ
    9.30 จะเริ่มมีรถขนนักท่องเที่ยวมาจากทั้งเวียงจันทน์ และมาจากหลวงพระบางมาลงที่วังเวียง
    ตอนนั้นก็จะเต็มไปด้วยชาวแบ็คแพ็คมาเดินหาที่พัก ดังนั้นที่พักของเค้าและของทุกที่จะเริ่มเต็มอีกครั้ง
    ใครอ่านมาถึงตรงนี้เก็บเป็นข้อมูลไว้เลยนะครับ เวลาทองของการเปลี่ยนที่พักคือช่วง 8.00 - 9.30 เท่านั้น !!!

    ผมเดินจากที่พักที่นั่นมา ไม่ใช่จะขับรถมาถามพี่เก่งหรอก แต่จะออกไปวนหาที่พักที่อื่น เผื่อจะมีดีหรือถูกกว่านี้หรือเปล่า
    ผมวนรถออกไปดูที่อื่นที่ไม่ใช่เขตชุมชน เลียบแม่น้ำเลยออกไปอีก ส่วนมากจะเป็นที่พักที่ราคาสูงแล้วครับ
    จะมีอีกที่ราคาถูกหน่อย บ้านเป็นหลัง แต่ไม่เห็นวิวอะไรเลย

    สุดท้ายตัดสินใจกลับมาเอาบ้านริมน้ำนี่แหละ นอนกัน 2 ครอบครัว ตก 750 บาทได้ทำเลแบบนี้ถือว่าคุ้ม
    เมื่อผมกลับมา เจ้าของที่พักยิ้มต้อนรับ เมื่อผมบอกว่าตกลงเอาที่นี่แหละ เค้าก็ว่า เมื่อกี้มีคนเอาไปแล้วหลังนึง
    แต่บ้านที่หันออกริมน้ำคนพักยังไม่ CheckOut แต่เค้าจะออกวันนี้แหละ เค้าก็เลยว่าให้เราเลือกเอาเลย
    เอาหลังวิวดีๆก็ได้ แขกที่มาจองไว้ก่อนเค้ายังไม่รู้ว่ามีหลังที่วิวดีเหลืออยู่ ผมก็เลยตัดสินใจเอาเลย

    อันนี้เป็นจุดติดต่อที่พักที่เราจะพักในคืนนี้ครับ อยู่ริมถนนสุดทาง ข้างหลังเป็นห้องพักแบบห้องๆเป็นแถวๆ
    และมีทางเดินลงริมน้ำอยู่ข้างๆสำหรับไปบ้านพักแบบเป็นหลังๆที่เราจะนอนกันในคืนนี้

    [​IMG]

    และด้วยความใจดีของเจ้าของ เค้าบอกว่า เดี๋ยวเค้าลดให้อีกแล้วกัน คิด 1300 พอ ไทยลาวก็เหมือนพี่น้องกัน
    ถือเป็นวันปีใหม่ นี่เดี๋ยวเค้าก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวเหมือนกัน โอ้โห ใจดีจัง สรุปเราหารห้องพักกันครอบครัวละ 650 เอง ^_^
    เอาล่ะ จ่ายเงินค่าที่พักเรียบร้อย ขับรถออกนอกเมืองไปปลุกพี่เก่งแล้วอพยบย้ายที่อยู่กันดีกว่า

    ระหว่างทางกลับไปที่พักเมื่อคืน เจอพระปั่นจักรยานด้วย

    [​IMG]

    บังกะโลสมศักดิ์ศรี ที่เราพักกันเมื่อคืน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากย้ายถิ่นฐานกันแล้ว ก็ออกมาเดินหาข้าวกินครับ เราเลือกร้านที่มีระเบียงวิวแม่น้ำ(ส่วนมากที่นั่นก็มีระเบียงวิวแม่น้ำกันทุกที่แหละ)
    สั่งอาหารกัน กินกันไปก็คุยกันไปว่าวันนี้จะเที่ยวที่ไหนดี จึงเอาหนังสือมากางครับ

    [​IMG]

    ตอนแรกผมชวนพายเรือคายัคล่องลำน้ำซอง พี่เก่งไม่เอาครับ เหมือนยังนึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไงและน่าสนุกแค่ไหน
    ก็ OK ไม่เป็นไร หาแผนเที่ยวอย่างอื่น ดูในหนังสือแล้วแถวๆนั้นมันมีถ้ำต่างๆมากมาย ที่เราต้องขับรถข้ามสะพานไปอีกฝั่ง
    ซึ่งฝั่งนั้นจะเต็มไปด้วยภูเขา และเห็นในหนังสือเขียนว่าถ้ำพูคำ จะมีสระมรกตให้เล่นน้ำด้วย โอ้ช่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก
    ดูจากแผนที่ๆแถมมากับหนังสือแล้ว ถ้าเราข้ามแม่น้ำไป จะมีถ้ำเยอะแยะมากมาย จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
    ในเมื่อเรามีรถมาเอง จะไปไหนมันก็สะดวกสะบายไม่เสียค่าเหมารถอยู่แล้วนี่ .... ซึ่งเป็นการคิดผิดมหันต์ !!!!
    คิดผิดยังไง ลองอ่านต่อไปแล้วกันนะครับ

    เรามุ่งหน้าสู่สะพานข้ามแม่น้ำ ค่าข้ามไปกลับสำหรับรถกระบะหรือ SUV 20000 กีบ รถเก๋งไปกลับคิด 16000 กีบ
    คนเก็บจะคิดเรา 20000 กีบครับ พอดีเมื่อวานตอนเราหาที่พักเราเฉี่ยวมาทางนี้เหมือนกัน เกือบได้ข้ามไปตั้งแต่เมื่อวาน
    เมื่อวานเค้าจะคิดเรา 16000 แต่เราไม่ได้ข้ามไป พอมาวันนี้เราเลยบอกว่า รถ SUV ยกสูงก็จริงแต่คันนิดเดียวเองเล็กกว่ารถเก๋งอีก
    เมื่อวานจะคิดเราแค่ 16000 เอง ... และแล้วเค้าก็ยอมครับ 555 ก็คันมันเล็กจริงๆนี่หว่า

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พอข้ามมาเท่านั้นแหละ ถนนเป็นลูกรังทันที เรากางแผนที่ขับกันไปแบบงงๆ
    ในแผนที่ดูแล้วก่อนถึงถ้ำพูคำ จะผ่านอีก 2 ถ้ำ เราก็ตั้งใจว่าจะแวะมันทุกถ้ำเลยแล้วกัน

    ข้ามมาเจอคันนี้จอดอยู่ข้างทางครับ สะดุดตาตรงแหนบ + สปริงข้างหลังนี่แหละ
    ไม่มีโช๊คคอยซับแรงดีด คงเด้งกันหัวสั่นหัวคลอนไปตลอดทางแน่ๆ

    [​IMG]

    ในนั้นข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนา และหมู่บ้าน ตลอดทางมีป้ายบอกทางว่ามีถ้ำอยู่ทางนั้นทางนี้เยอะมากๆ
    ซึ่งแต่ละทางก็จะเป็นทางแนว Off Road เล็กๆ บางจุดก็ต้องไปตามคันนา
    เราเลือกที่จะแวะถ้ำแรก จำชื่อทำไม่ได้แล้ว ต้องไปตามคันนา ดูแล้ว Treios น่าจะไปได้
    แต่ไปไม่ทันไรเห็นทางมันเริ่มโหดขึ้นเรื่อยๆ ก็กลับออกมาครับ กลัวว่ารถจะงานเข้าเดี๋ยวจะลำบาก

    [​IMG]

    เมื่อเราออกมายังทางหลักแล้วประเมินจากสภาพเส้นทางที่ทำความเร็วไม่ได้ และสภาพแวดล้อมแล้ว
    ตัดสินใจว่าไปให้ถึงถ้ำพูคำก่อนดีกว่า ส่วนจะแวะอย่างอื่นหรือยังไงค่อยว่ากันอีกที

    ระหว่างทางครับ เจอนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์ ก็คงเช่ามอไซค์มาจากในเมือง
    เจอนักท่องเที่ยวขี่จักรยาน ก็คงเช่าจักรยานมาจากในเมือง
    เจอนักท่องเที่ยวเดินครับพี่น้อง คงไม่ใช่เช่ารองเท้ามาจากในเมืองแน่นอน
    เราสงสัยกันอยู่ว่า ทางมันไม่ใช่ใกล้ๆนะ หรือเค้าไม่รู้ว่ามันอีกไกลแค่ไหน
    เรามากันไกลพอสมควรครับ เจอชาวบ้านแถวนั้นจึงจอดถาม เค้าว่าเราเพิ่งมาได้ครึ่งทางเอง
    โอ้โห แล้วพวกขับมอเตอร์ไซค์ จักรยาน หรือแม้กระทั่งเดิน พรุ่งนี้จะถึงไหมเนี่ยะ

    สะพานไม้เล็กๆข้ามคูน้ำระหว่างทางในนั้นครับ สำหรับรถหนักไม่เกิน 1.5 ตัน
    ถ้าไม่อย่างนั้นจะมีทางสำหรับขับลุยข้ามคูน้ำอยู่ข้างๆครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ระหว่างทางเราเจอกลุ่มหมวยน่าจะเป็นแนวๆจีน ไต้หวัน เกาหลี 3 คนปั่นจักรยานอย่างสิ้นหวังครับ
    เนื้อตัวท่วมไปด้วยเหงื่อ แถมจักรยานของอีกคนก็ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่ หมวยตกอยู่ในความลำบากครับ
    ดีนะที่เป็นแค่ "หมวยลำบาก" เพราะถ้าใช้คำว่าลำเค็ญ คงเหม็น....น่าดู 555

    เอาล่ะ ผมเริ่มพยายามทำความเร็วของรถ แม้ทางจะไม่ค่อยอำนวย เริ่มคิดถึงล้อขอบ 15 ยางแก้มหนาๆ
    เพราะมันคงทำความเร็วได้มากกว่านี้ในทางลักษณะนี้ ผมฝืนขับเร็วขึ้นด้วยความรู้สึกที่ว่าเราเสียเวลากับตรงนี้มากไปแล้วนะ
    ในใจคิดว่ากลับกรุงเทพไปคงได้เปลี่ยนลูกหมากกันยกชุดแน่ๆ และแล้วเราก็มาถึงครับ
    เสียค่าเข้าคนละ ซาวพันกีบ ในลานจอดรถมีรถจอดอยู่ 10 กว่าคันได้มั๊ง ผมรีบหาที่จอด
    ในใจคิดว่าจะโดดสระน้ำมรกตให้ชื่นใจ ... เก็บของ ลงจากรถ เดินๆไป เห็นบ่อน้ำเล็กๆ สีเขียวมรกต สวยมากๆ มีคนโดดน้ำเล่นอยู่ 2 - 3 คน
    ในใจคิด โอ้โห บ่อข้างหน้ายังสวยขนาดนี้ สงสัยบ่อข้างในคงน่าเล่นมากๆแน่ๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    แต่แล้วเมื่อเดินสำรวจรอบๆจึงพบกับความจริงที่ว่า บ่อเล็กๆเหมือนบ่อปลานิลข้างหน้านั่นแหละ บ่อมรกต T-T
    ผิดหวังมากมายมหาศาล นี่ขับรถข้ามประเทศมาไกลแสนไกล ขับผ่านทางลูกรังมาอย่างยาวนาน เพื่อเข้ามาดูบ่อปลานิลเล็กๆเนี่ยะนะ

    [​IMG]

    ฝรั่งเข้ามาก็คงไม่รู้จะทำอะไร บ่อเล่นน้ำก็เล็กนิดเดียวเลยนอนอาบแดดกันเกลื่อนเลย

    [​IMG]

    พี่เก่งชวนขึ้นเขาครับ มีถ้ำอยู่ข้างบน ก็เอาวะ ไหนๆก็มาแล้วนี่ ก็เลยขึ้นเขากัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    ทางขึ้นก็มีโหดบ้างในบางช่วง ใช้แรงและเวลาพอสมควร เมื่อขึ้นไปถึงก็สวนกับกลุ่มคนไทยที่เราเคยเจอตอนเค้าหาที่พักยังไม่ได้
    เค้าบอกมาว่า พี่เข้าไปถึงองค์พระแล้วออกเลยนะ ไม่ต้องเข้าไปต่อเพราะไม่มีอะไรเลย เราก็งงๆครับ

    เมื่อเข้ามาในถ้ำ ก็เจอองค์พระเลยครับพี่น้อง ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงไหนเลย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    นิสัยคนไทยก็นะ ... ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อยากรู้ว่ามันมีอะไรข้างในต่อ ไหนๆก็มาถึงแล้วนี่
    ก็เข้าต่อไปครับ ยิ่งลึกก็ยิ่งมืด เราเตรียมไฟฉายมาแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีหินงอกหินย้อยที่จะเห็นซักเท่าไหร่
    คงเป็นเพราะข้างในไม่มีการติดไฟไว้เลยครับ ลำพังแสงจากไฟฉายมันเห็นไม่หมดทั้งห้องโถงของถ้ำ และก็ไม่มีใครเข้ามาเลยเพราะมืดมาก
    มีกลุ่มผมกับกลุ่มผู้หญิงจากไทย 2 คนเตลิดเข้าไปในนั้น สุดท้ายเราก็ยอมแพ้ครับ ไม่รู้จะดึงดันเข้าต่อไปทำไม

    [​IMG]

    เดินกลับออกมาด้วยความเซ็ง วันนี้ทั้งวัน หมดไปกับการขับรถลุยฝุ่นเข้ามาดูบ่อปลานิลเล็กๆ
    กับปีนเขาขึ้นไปดูถ้ำที่แทบจะไม่มีหินงอกหินย้อยสวยงามให้ดูเลย บอกตัวเองว่ามันไม่ใช่แล้วแหละ
    ดั้นด้นกันมาถึงขนาดนี้ ยกเลิกโปรแกรมหลวงพระบาง แต่แล้วเหมือนยังไม่ได้อะไรเลยจากวังเวียง
    พลันคิดถึงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่เหมารถมา ขีมอเตอร์ไซค์มา กลุ่มหมวยที่ปั่นจักรยานมา รวมถึงเดินมา เค้าจะผิดหวังขนาดไหน
    หรือเป็นเพราะเราคาดหวังมากเกินไปก็ไม่รู้นะ

    ลงจากเขามาขึ้นรถบึ่งออกจากที่นั่นโดยใช้ความเร็วเล็กน้อย ไม่แวะถ้ำตามทางที่ไหนอีกแล้ว ผิดหวังมากๆ
    ขากลับเราใช้เวลาได้เร็วกว่าขาเข้า ออกมาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำกลับมาฝั่งนี้ได้ก็ 4 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว
    โอ้มันช่างเป็น 1 วันเต็มที่เหมือนจะไร้ค่าอะไรแบบนี้วะเนี่ยะ
     
  2. Emporio

    Emporio Active Member ทีมงานสมาชิก Super Moderator

    378
    35
    28
    เราตัดสินใจไปวังไซอีกรอบครับ เพราะยังสว่างอยู่ คิดว่าคงคึกครื้นแน่นอน เป็นไปดังคาดครับ
    คนเยอะมากๆ มาตอนสว่างทำให้เราเห็นว่าตรงนั้นมีอะไรบ้าง

    ที่นี่มีม้าหมุนพลังงานลมครับ ไม่มีกลไกอะไรเลยนอกจากพัดลมที่ติดอยู่ข้างบน และมันก็หมุนได้จริงๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เท่าที่ทำความเข้าใจคร่าวๆนะครับ ตรงนั้นเป็นจุดท่องเที่ยวกินข้าวของนักท่องเที่ยว มีแพให้นั่งกินข้าวริมน้ำ มีที่พักเท่าที่เราเห็นอยู่ 1 ที่

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    มีจุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ล่องหวงยาง หรือพายคายัค มาแวะเล่นน้ำ โดดน้ำกันที่นี่
    ที่นั่นพี่เก่งได้เห็นการพายเรือคายักล่องตามแม่น้ำ เริ่มมีความสนใจการพายเรือขึ้นมาบ้างแล้ว

    ตอนแรกว่าจะกินข้าวตรงแพริมน้ำครับ ตรงนั้นคนเยอะมากๆ ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวเอเชีย หรือไม่ก็คนลาวที่เค้ามาเที่ยวกัน
    สามารถนั่งแช่น้ำ เล่นน้ำได้ริมน้ำซอง แต่แล้วพอหันไปถามสมาชิก เมื่อเรามองไปเห็นจุดโดดน้ำ ที่ห่างออกไปหน่อย
    มีเสียงเพลงดังอึกทึก และมีเสียงโวกเวกของฝรั่งโดดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ก็เลยเปลี่ยนใจ เดินไปดูตรงนั้นดีกว่า
    ด้วยความคิดที่ว่า ไหนๆก็มาแล้ว ต้องดูให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    การจะไปตรงนั้นได้ เราต้องเสียค่าเดินข้ามสะพานครับ คนละ 5000 กีบ ตรงนี้สำคัญมากครับ
    จ่ายเงินแล้วเราจะได้กระดาษมา 1 ใบ ในนั้นเหมือนจะเป็นใบเสร็จ ซึ่งผมมาเห็นหลังจากกลับจากวังไซแล้ว
    ในนั้นเขียนเป็นภาษาลาวว่า สามารถเอาไปแลกเครื่องดื่มได้ที่ร้านขายน้ำในราคา 5000 กีบ ห้วย !!!
    คนแจกตั๋วทำไมไม่บอกวะ ใครจะไปอ่าน ยิ่งฝรั่งจะอ่านออกไหม
    เหมือนกับว่าให้ข้ามฟรีครับ แต่ซื้อน้ำเค้ากินหน่อย ไอ้เราก็นึกว่าใบเสร็จธรรมดา 555 สรุปเราข้ามไป 5 คน ไม่ได้เอาไปแลกเลยซักคน

    เอาล่ะ ข้ามสะพานมาแล้ว เดินไปถึงจุดเล่นน้ำ เต็มไปด้วยฝรั่งมากมาย เต็มไปด้วยคนเมา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ตรงนั้นพวกพายเรือหรือล่องห่วงยางมาแวะเล่นกันเยอะเลย
    มีกลุ่มคนไทย 2 กลุ่ม นอกนั้นฝรั่งหมดเลย ยังพอมีที่ว่างอยู่บ้าง เราเลือกนั่งกระท่อมริมน้ำ เห็นกิจกรรมการโดดน้ำ
    ผมให้น้องแพนและอ้อไปสั่งข้าวครับ และเนื่องด้วยคนมันเยอะ แม่ค้าก็จะมึนๆมั่วๆหน่อย
    ระหว่างรอข้าว ผมก็ปฏิบัติการเตรียมโดดน้ำกับเค้าบ้างทันที สอบถามแล้วว่าถ้าเราซื้อน้ำหรือซื้อข้าวกับเค้า
    ก็ไปให้ที่ร้านข้าวแต้มสีทาเล็บ แล้วจะมีสิทธิเล่นฟรีครับ ผมเริ่มด้วยสไลด์เดอร์ยักษ์ ขึ้นไปข้างบนนี่โอ้โห มันสูงโคตรๆจริงๆ
    กลัวเหมือนกันนะ แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ไม่ได้มากันบ่อยๆ ต้องลองเล่นซักครั้ง ส่วนคนอื่นขอบายครับมีผมคนเดียวที่จะเล่น

    ฝรั่งเล่นสไลด์เดอร์ยักษ์ลงสู่แม่น้ำซอง

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผมค่อยๆจรดแก้มก้นนุ่มๆของผมลงบนพื้นของสไลด์เดอร์ที่ทำด้วยกระเบื้องและมีการเปิดน้ำล่อเลี้ยงไว้
    ความเย็นของน้ำทำเอาผมหนาวนิดๆ จึงขอให้คนดูแลสไลด์เดอร์เอาน้ำราดตัวให้ร่างกายปรับตัวให้ได้ก่อนที่จะโดดลงน้ำ
    เมื่อร่างกายพร้อม ก็ปล่อยตัวไหลลงมาเลยครับ ความเร็วมันเริ่มจากช้าๆ เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น เฮ้ยแม่งเร็วเกินไปแล้วนะ .... แล้วก็วี๊ดดดดดด ตูม !!!!!

    ขอบอกว่าช่วงที่อยู่ในอากาศ มันหวิวๆนานมากๆกว่าจะตกถึงน้ำ เมื่อตกถึงน้ำ จมลงไปลึกพอสมควร
    รีบตะเกียตะกายขึ้นมายืนที่ริมน้ำทำหน้านิ่งๆ ฮาๆเข้าไว้ ศักดิ์ศรีของคนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก
    แต่รอบเดียวพอนะ 555 ไม่เอาแล้ว น่ากลัวใช้ได้เลย แต่ถ้าเล่นหลายๆรอบจนชินก็คงสนุกไปกับการโดดแหละ

    แต่แล้วครับ ... มันยังมีอีก 1 สิ่งที่ยังไม่ได้เล่น นั่นคือโหนเชือกแล้วกระโดดลงน้ำ
    ไอ้สไลด์เดอร์ที่ว่าสูงแล้วนะ โหนเชือกนี่สูงกว่าอีก ... ก็ไปถึงที่แล้วนี่ เดินขึ้นบันไดไปยืนตรงจุดโดด โอ้โห น่ากลัวกว่าสไลด์เดอร์เยอะมากๆ
    ตอนนั้นมีฝรั่งผู้หญิงไม่กล้าโดดอยู่ 1 คน แฟนก็ปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก ลองโดดดู กล้าๆกลัวๆซักพักเธอก็โดด
    แล้วทำไมคนไทยอย่างผมจะไม่กล้าโดดล่ะครับ พอถึงตาผม รีบขึ้นไปยืนตรงจุดปล่อยตัวเลย รีบจับไม้แล้วรีบปล่อยตัวเองลงมาเลย
    อย่าไปเสียเวลาให้มันมากมายเดี๋ยวจะกลัวไปซะก่อน ....

    ฝรั่งโหนเชือกก่อนที่จะปล่อยตัวเองร่วงลงสู่น้ำ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ให้ตายเถอะ หวิวนานมากๆพอลงมาถึงจุดต่ำสุดมันก็เทคตัวขึ้นไปสูงมากๆ ผมยังไม่ตัดสินใจปล่อยมือในรอบแรกครับ
    เห็นหลายๆคนปล่อยให้เหวียงเล่นไปก่อน 2 - 3 รอบค่อยปล่อย ได้รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นก็ตอนนี้แหละ
    ถ้าเล่นปล่อยตั้งแต่รอบแรกนี่กว่าจะตกลงไปถึงน้ำคงสูงมากๆ ผมเหวียงเล่นอยู่ 1 รอบก่อนปล่อยตัวลงสู่พื้นน้ำ ตอนปล่อยตัวนี่เวลาเดินช้ามากๆ
    มันหวิวไปเรื่อยๆๆๆๆ เอ้ยทำไมไม่ถึงน้ำซักทีวะ สูงเกินไปแล้วนะ ตูมมมมม !!!!! จมลงไปลึกมากๆ คงเพราะตกลงมาจากที่สูงมากๆ
    และก็เหมือนเดิมครับ ขึ้นมายืนเนียนๆให้คนอื่นเห็นว่ากูไม่กลัว 555 รอบเดียวเหมือนเดิม พอกันทีกินข้าวดีกว่า

    **** วันนั้นหลังจากเหตุการณ์โดดน้ำผมไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลยครับเพราะแสงมันหมดแล้ว และเซ็งนิดๆกับอาหารที่นั่น

    เมื่อเดินไปถึงกระท่อมริมน้ำ ข้าวยังไม่มาเลยครับ ฟ้าเริ่มมืด และที่นั่นไม่มีไฟส่องสว่าง
    เราย้ายที่ออกมาที่แคร่ข้างนอกที่ยังพอจะมีแสงเหลืออยู่บ้าง ทุกคนเริ่มเบื่อแล้วครับ ข้าวนานมากๆจะไปยกเลิกทีไร
    เค้าก็จะยกกับข้าวของเราออกมาพอดีทุกที นั่งกินข้าวกันในแสงสลัวๆ อาหารก็ไม่ค่อยอร่อย
    แนะนำเลยว่า ใครไปอย่าไปกินข้าวที่นั่นครับ คุณไปเล่นน้ำก็พอ สั่งเครื่องดื่มเค้าเล่นน้ำให้เสร็จแล้วไปกินข้าวที่อื่นดีที่สุด
    วันนั้นเราเป็นลูกค้าคนสุดท้ายที่ฝืนรีบๆกินข้าวทั้งๆที่มันมืด แล้วเดินมืดๆออกมา ที่นั่นพอมืดแล้วทุกอย่างจะเงียบจริงๆ

    เอาหน่ะไปหาอะไรกินต่อในตัวเมืองวังเวียงดีกว่า ขับรถฝ่าความืดเข้าเมืองมา เข้าเมืองมานิดเดียวก็สวนกับรถดับเพลิงครับ
    ด้วยความอยากรู้ว่าเมืองลาวเค้าดับเพลิงกันยังไงจึงกลับรถไปดูครับ ที่ไหนได้ไฟไหมหม้อแปลงไฟครับ ไฟติดนิดเดียวแล้วก็ดับเอง
    เราสังเกตการณ์อยู่ซักพักก็เข้ามาที่เมืองต่อ เห็นว่าร้านค้าบางร้านไฟดับครับ คงเป็นผลกระทบจากหม้อแปลงไฟไฟไหม้นั่นแหละ
    แต่มันดับแค่บางร้าน คงใช้ไฟคนละเฟสกัน

    ผมจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นเราทำอะไรกันบ้าง คร่าวๆคือ กลับไปที่พักครับ พอจอดปุ๊บไฟดับทั้งเมืองทันที ...
    จึงขับรถออกมาหาที่นั่งเล่นในเมือง เดินไปเดินมาครับ แวะกินขนมปังร้านอะไรซักอย่างนี่แหละ
    รู้สึกจะร้าน หลวงพระบางเบเกอรี่ แวะถามตามบริษัททัวร์เกี่ยวกับการพายเรือคายัคช่วงเช้าของวันต่อไป
    ไฟก็ยังติดๆดับๆอยู่ เรื่องพายเรือเราสอบถามได้ความว่า พายครึ่งวันเช้า ได้ราคามาหลากหลายมาก
    คือช่วงเช้าเราถามจากที่พัก เค้าจะติดต่อให้ คิดหัวละ 300 เราเริ่มเดินถามๆเอง เริ่มได้ราคา 280 260 250
    จนมีอยู่ที่นึง เค้าบอกเราว่าถ้าคุณมาพายตั้งแต่ก่อน 7 โมง คุณจะได้ราคา 240 เพราะเราไม่ต้องเสียภาษีท่องเที่ยวหรืออะไรนี่แหละ
    เออมีงี้ด้วย แต่ดูแล้วเราคงไม่ตื่นมาพายเรือตอน 7 โมงหรอกนะ

    ได้ข้อมูลมาพอสมควรแล้ว และไฟฟ้าในเมืองก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เราจึงซื้อเบียร์ลาวไว้ไปนั่งกินที่ระเบียงบ้าน
    เมื่อกลับมาถึงบ้านพัก นั่งกินเบียร์ชิลๆซักพักก็เริ่มผลัดกันอาบน้ำเตรียมนอน แต่แล้ว .... ไฟดับครับ
    ออกมาดูข้างนอก ดับมันทั้งเมืองเลย ก็กะว่าเดี๋ยวคงติด ที่ไหนได้ รอไปรอมาไม่ติดซักที

    ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่แน่ใจ มารู้สึกตัวอีกทีได้ยินเสียงฝนตกครับ ตกหนักมาก ไฟก็ยังไม่มา มันจะอะไรของมันนักหนาวะเนี่ยะ
    ก็หลับๆตื่นๆไปตลอดคืน เพราะอากาศมันเริ่มร้อนนิดๆ คืนนั้นหนาวก็ไม่หนาว ไฟก็ดับ ฝนก็ตก
    อุส่าห์คิดว่าคืนนี้ได้ที่พักบรรยากาศดีๆแล้วเชียว ...

    ถึงได้บอก วันนี้เป็นวันที่วิงเวียนที่สุดในวังเวียงจริงๆ 1 วันเต็มๆที่เราปล้นเวลามาได้จากการยกเลิกการไปหลวงพระบาง
    ช่างไม่น่าจดจำอะไรเช่นนี้ แต่พี่เก่งก็บอกตลอดวันเลยนะว่า มาแล้วก็จะได้รู้ จะได้ไปบอกคนอื่นให้เค้ารู้ก่อนที่จะมา
    คนอื่นที่ได้อ่านบทความของผมอย่างน้อยคงได้รู้ว่าการไปเที่ยววังเวียงนั้น ตรงไหนน่าไป ตรงไหนเป็นยังไง
    จะได้เลือกและวางแผนถูกว่าจะไปเที่ยวตรงไหนบ้าง และทำอะไรบ้าง

    แต่วันนั้นวันซวยจริงๆครับ เหนื่อยมาทั้งวัน กินข้าวก็ไม่น่าประทับใจ ไฟดันมาดับทั้งคืนแถมฝนตกหนักอีก ... เฮ้อ !!!

    ตอนต่อไป Laos Trip ตอนที่ 5 : Day 4 เก็บตกวิถีชีวิตวังเวียง กลับสู่ความเจริญที่เวียงจันทน์

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Laos Trip ตอนที่ 1 : เตรียมการขับรถ ตะลุยลาว ...
    Laos Trip ตอนที่ 2 : Day 1 การเดินทางที่ผิดแผน - คืนแรกนอนม่านรูด !!!
    Laos Trip ตอนที่ 3 : Day 2 โดนลาวหลอกที่ปั๊มน้ำมัน - ถนนโลกพระจันทร์สู่วังเวียง - ร่วมฉลอง Happy New Year 2010
    Laos Trip ตอนที่ 4 : Day 3 วันแห่งวังเวียงที่สุดแสนจะวิงเวียน
    Laos Trip ตอนที่ 5 : Day 4 เก็บตกวิถีชีวิตวังเวียง กลับสู่ความเจริญที่เวียงจันทน์
    Laos Trip ตอนที่ 6 : Day 5 ชิมเฝอยักษ์ที่เวียงจันทน์ กลับสู่แผ่นดินแม่ ...
     
    แก้ไขล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2010
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้