สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกครั้งสำหรับการร่วมทดสอบยางรถยนต์ Michelin
ในครั้งนี้ทาง RacingWeb.Net ได้รับเชิญให้ไปร่วมทดสอบในคอนเซ็ปต์ Balance of Performance
ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2555 ณ สนาม Bonanza International Speedway ซึ่งได้เชิญ CarClub ต่างๆไปร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วย
สำหรับงานจัดทดสอบยางรถยนต์ในแต่ละครั้งของ Michelin นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วครับว่าไม่ธรรมดา
ซึ่งจากในครั้งที่ผ่านๆ มานั้นค่อนข้างจะให้ผู้ทดสอบได้สัมผัสถึง Performance ของยางในชนิดที่ไม่มีกั๊กเรื่องรถหรือความเร็วในการทดสอบ
หรือแม้กระทั่งที่เคยได้เชิญ KengRacing ไปร่วมทดสอบยาง Michelin Pilot Super Sport กับรถ SuperCar หลากหลายรุ่นที่สนามแข่งรถประเทศดูไบ
RacingWeb@Michelin Pilot Sport 3 ==> http://racingweb.net/forum/showthread.php/730187
RacingWeb@Michelin Pilot Super Sport ==> http://racingweb.net/forum/showthread.php/804125
ลองมาดูแล้วกันครับว่าการทดสอบยางรถยนต์ Michelin ในคอนเซ็ปต์ Balance of Performance ในครั้งนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
เริ่มด้วย 3 สิ่งที่ทาง Michelin เน้นในการพัฒนานวัตกรรมการผลิตยางรถยนต์
นั่นคือ การใช้งานได้ยาวนาน ปลอดภัย และประหยัดพลังงาน
ทีมทดสอบ Product ด้านรถยนต์ของ RacingWeb.Net ไปทุกงานที่ได้รับเชิญ
พร้อมสรุปผลการทดสอบอย่างตรงไปตรงมาในฐานะสื่อมวลชน
จุดลงทะเบียนหน้างาน
บรรยากาศในงาน
Webmaster ได้รับแจ้งว่าคืนก่อนจะมางานนอนน้อย ระหว่างเดินทางโดยรถตู้ก็ไม่กล้าหลับกลัวมี Civic มาไล่ชนบนทางด่วน
เจ้าหน้าที่ของ Michelin กำลังบรรยายถึงคุณสมบัติและนวัตกรรมการผลิตยางของ Michelin ในปัจจุบัน
เพื่อให้เห็นถึงการสร้างยางที่อยู่บนพื้นฐานของคำว่า Balance of Performance
ก่อนจะไปชมภาพการทดสอบและผลการทดสอบก็ขออธิบายรายละเอียดกันซักหน่อยว่า คอนเซ็ป Balance of Performance คืออะไร
เห็นตัวอักษรเยอะๆอย่าคิดว่ามันน่าเบื่อนะ เพราะสำหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องรถยนต์อย่างสมาชิกใน RacingWeb แล้วนั้น
ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ทีเดียว เพราะจะทำให้ทราบว่ายางรถยนต์ที่เราๆ ใช้กันอยู่ทุกวันนั้นมีข้อดีข้อเสียในแง่ของการออกแบบอย่างไรดังนี้
การผลิตยางเพื่อเน้นประโยชน์ไม่ว่าจะด้านใดมักจะมีข้อเสียในอีกด้านเสมอ เช่น
การผลิตยางที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน ก็มักจะต้องมีเนื้อดอกยางที่แข็ง ซึ่งทำให้ไม่นิ่มนวลและการเกาะถนนที่ลดลงโดยเฉพาะในพื้นเปียก
การผลิตยางเพื่อให้ประหยัดน้ำมัน ก็มักจะต้องมีดอกยางที่ตื้น น้ำหนักเบา กระบวนการผลิตซับซ้อน ซึ่งทำให้โครงสร้างยางไม่แข็งแรง สมรรถนะบนถนนเปียกไม่ดี อายุการใช้งานสั้น
การผลิตยางที่เกาะถนนได้ดี ก็มักจะต้องมีดอกยางที่นิ่ม ร่องรีดน้ำน้อย ซึ่งจะทำให้ไม่นุ่ม เสียงดัง สึกเร็ว ถนนแห้งดีแต่ถนนเปียกไม่ดี หรือแม้กระทั่งถนนเปียกดีแต่ถนนแห้งไม่ดี
Michelin จึงพยายามคิดค้นนวัตกรรมการผลิตยางเพื่อให้ยางที่ผลิตออกมามีข้อดีในแง่ต่างๆโดยไม่สูญเสียข้อดีด้านอื่นๆ ไป
นั่นคือความหมายของคอนเซ็ปต์ Balance of Performance นั่นเอง
โดยแบ่งเป็นเทคโนโลยีในการผลิตยางด้านต่างๆ ที่มีอยู่ในยางแต่ละรุ่นของ Michelin ดังต่อไปนี้
เทคโนโลยี Alternating Bridging ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น 20%
ช่วยควบคุมการขยับตัวของบล็อกดอกยางไม่ให้มากเกินไป โดยการเสริมความมั่นคงให้กับบล็อกดอกยางทุกๆ บล็อก ด้วยยคานเชื่อมแบบขั้นบันได
จึงช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น โดยไม่สูญเสียสมรรถนะบนพื้นเปียกอีกด้วย
เทคโนโลยีสูตรเนื้อยาง Full Silica Compound มีประสิทธิภาพการหมุนสูงช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น
สามารถนำข้อดีของ Silica มาใช้งานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เนื้อยางมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบ ให้ประสิทธิภาพการหมุนที่สูง และยังสามารถเกาะถนนได้ดีในเวลาเดียวกัน
โดยในยางรุ่นใหม่ๆต่อจากนี้จะมีเครื่องหมาย Green X บนแก้มยาง ซึ่งเป็นเครื่องหมายการรับประกันยางประหยัดน้ำมันคุณภาพสูง ที่ทั้งปลอดภัยและมีอายุการใช้งานยาวนาน
เทคโนโลยี Micro Adaptive Compound เพื่อการยึดเกาะถนนที่ดี
ทำให้เนื้อยางส่วนที่สัมผัสถนนมีความยืดหยุ่นสูง จึงซึมซับและโอบรับความขรุขระของพื้นถนนได้เต็มที่ เพื่อการยึดเกาะสูงสุด
เทคโนโลยี Optimum Void Grooves เพื่อการรีดน้ำที่ดี
ร่องรีดน้ำตามแนวการหมุนของยางมิชลิน Energy XM2 มีปริมาตรสำหรับระบายน้ำได้มากขึ้น 20% เมื่อเปรียบเทียบกับยางมิชลิน Energy XM1 จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเหินน้ำได้มากขึ้น
เทคโนโลยีในการผลิตยางกลุ่ม SUV เช่น
เทคโนโลยีโครงสร้าง Supple yet Rigid
ด้วยโครงสร้างแก้มยางที่ยืดหยุ่นผสานดอกยางที่มั่นคง ให้การซึมซับแรงกระเทือนเพื่อความนุ่ม
หน้าสัมผัสที่กว้างกว่า ทำให้การกระจายน้ำหนักบนหน้ายางเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ยางจึงสึกเรียบ ได้ระยะทางไกลขึ้น
เทคโนโลยี "สเตบิลิกริป" (StabiliGrip) อันนี้น่าสนใจมาก คิดต่างและพัฒนาได้อย่างยอดเยี่ยม
ร่องดอกยางที่มีเทคโนโลยีล็อคตัวภายใน (Interlocking StabiliGrip Sipes) ทำให้ดอกยางมีความมั่นคงสูง เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ เกาะถนนมั่นใจ ให้ความปลอดภัยสูงสุด
Credit : http://www.michelin.co.th
ก็พอคร่าวๆนะครับสำหรับเทคโนโลยีที่วันนั้น Michelin ได้อธิบายให้ฟัง ซึ่งทำให้เราได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตยางและนวัตกรรมใหม่ๆ
ซึ่งน่าสนใจมากๆว่าทำอย่างไรจึงจะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาประสิทธิภาพของยางในด้านหนึ่งได้โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพอีกด้านไป
อย่าคิดว่ามาช่วยโฆษณากันเลยนะครับ ยางยี่ห้ออื่นๆก็มีเทคโนโลยี่ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมมองว่ามันเป็นความรู้ที่น่าศึกษามากกว่านะ
เอาล่ะ วิชาการกันมามากพอแล้ว ลองดูในส่วนของการทดสอบกันบ้างดีกว่า
เริ่มจากการแนะนำตัวผู้ควบคุมการทดสอบยางในวันนั้น
เริ่มกันที่การทดสอบแรกครับ เป็นการทดสอบประสิทธิภาพในการหมุนของยาง
ซึ่งจะมีการปล่อยรถโดยการดับเครื่องให้ไหลจากช่วงทางตรงของสนาม ซึ่งเป็นทางลักษณะลาดลง
แล้วดูว่ายาง Michelin เทียบกับยางคู่แข่งแล้วใครสามารถไปได้ไกลกว่ากัน
โดยเป็นการให้ตัวแทนของคณะที่ไปทดสอบไปนั่งอยู่บนรถคันต่างๆ ส่วนคนที่เหลือก็สังเกตการณ์ผ่าน Monitor ที่จัดไว้ให้ชมกันสดๆ
ซึ่งวันนั้น Michelin นำยางรุ่นใหม่มาทดสอบเรื่องนี้ 3 หรือ 4 รุ่นนี่แหละจำไม่ได้
โดยใช้รถรุ่นเดียวกันกับยางคู่แข่งในแต่ละรุ่น ผลออกมาคือคันที่ใช้ Michelin ไหลได้ไกลกว่าทุกคัน
แต่ที่ค่อนข้างโดดเด่นคือยางที่ใส่ในรถแคมรี่(น่าจะเป็นรุ่น Primacy LC) ที่ไปได้ไกลกว่าเพื่อนมากๆ
แต่การทดสอบนี้มีจุดที่ให้ผมสงสัยอยู่เล็กน้อยนะครับคือระยะทางในการทดสอบค่อนข้างไปได้ไกลจนมีการผ่านโค้ง 3 โค้ง
ตรงนั้นเป็นตัวแปรสำคัญครับว่าคนที่นั่งบังคับพวงมาลัยของแต่ละคันจะเข้าโค้งในไลน์เดียวกันไหม
ซึ่งความแตกต่างของไลน์การเข้าโค้งนั้นนอกจากจะมีเรื่องของระยะทางที่ต่างกันได้แล้วยังมีเรื่องแรงเสียดทานจากโค้งในแต่ละไลน์ด้วย
ซึ่งตรงนี้สามารถเปลี่ยนแปลงระยะการวิ่งของรถที่ไหลผ่านมาได้ ดังนั้นในข้อนี้ถ้าเป็นการทดสอบเฉพาะทางตรงน่าจะเคลียร์กว่าครับ
***เกร็ดความรู้เล็กๆนะครับ การหมุนได้ดีกว่าถือว่าจะทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเพราะมีความเสียดทานในการหมุนน้อยกว่า
แต่ก็จะทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่าเมื่อมีความเสียดทานน้อยแล้วมันจะเกาะถนนลดลงหรือเปล่า
คำตอบที่ได้คือ ด้วยการออกแบบโครงสร้างของยาง ในภาวะที่ล้อหมุนตรงๆ แม้จะเกิดแรงเสียดทานที่น้อย
แต่เมื่อเข้าโค้งซึ่งจะมีแรงหนีศูนย์กลางจากโค้งเกิดขึ้นที่ยาง ในภาวะนั้นโครงสร้างของยางจะทำหน้าที่ให้เกิดการเกาะยึดถนนที่มากกว่าตอนหมุนตรงๆ ครับ
เสร็จจากการทดสอบประสิทธิภาพในการหมุนของยางแล้วจึงได้เข้ามานั่งพักเพื่อเตรียมทดสอบ Safety PC
ซึ่งเป็นการทดสอบยาง Michelin รุ่น Primacy LC เทียบกับยางยี่ห้อคู่แข่งบนรถ 3 รุ่นคือ
Civic 1.8, Lancer EX, Camry 2.0 โดยวิ่งรอบสนามและสลับไปขับอีกคันที่ใส่ยางยี่ห้อคู่แข่งอยู่
ซึ่งตลอดทางจะมีส่วนที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพแทบจะทุกด้านของยางรุ่นนั้นดังนี้
- สลาลอมบนพื้นแห้ง
- โค้งบนพื้นแห้ง
- วิ่งทับเส้นเชือกเพื่อทดสอบความนิ่มและเสียงรบกวน
- โค้งบนพื้นเปียก
- เบรคบนพื้นเปียกโดยมี V-Box วัดระยะทางเบรคไว้เปรียบเทียบ
ซึ่งการทดสอบนี้ RacingWeb.Net ได้อยู่ในกลุ่มที่ทดสอบกับรถ Civic 1.8
ลองชมภาพการทดสอบดูนะครับ
ผลการทดสอบค่อนข้างเหนือกว่าในทุกๆ Station นะครับ
- จังหวะสลาลอมบนพื้นแห้งค่อนข้างชัดเจนว่า Primacy LC เข้าได้คมกว่ายางคู่แข่ง
- โค้งบนพื้นแห้งก็เช่นกันครับ Primacy LC ไม่มีอาการ Under เลย แต่ยางคู่แข่งมีอาการเล็กน้อย
- การวิ่งผ่านเส้นเชือกที่ขวางถนน ให้ผลไม่ค่อยเด่นชัดนัก แต่ก็ยังจับความรู้สึกที่แตกต่างกันได้เล็กน้อย
- ในทางโค้งพื้นเปียก Primacy LC จะมี Grip ที่ดีกว่า แม้ความเร็วที่ทดสอบจะมีอาการ Under ให้เห็นอยู่บ้างแต่ก็ยังสามารถคอนโทรลรถได้
แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว Under ค่อนข้างมากจนต้องยกคันเร่งเพื่อรักษาการทรงตัวของรถ
- ส่วนระยะเบรคนั้น V-Box วัดได้ค่อนข้างชัดเจนครับว่า Primacy LC มีระยะเบรคที่สั้นกว่าเฉลี่ยเกือบ 2 เมตร
ซึ่งกิจกรรมในช่วงเช้านั้นมีกิจกรรเสริมอีกอย่างครับคือการให้ผู้เข้าร่วมงานส่งภาพที่ถ่ายได้จากในงานวันนั้น
ส่งเข้าประกวดโดยยึดหัวข้อ Balance of Performance ทาง RacingWeb.Net ได้เก็บภาพและส่งภาพนี้เข้าประกวดครับ
ผลการประกวดภาพถ่ายประกาศในช่วงเย็นนะครับ RacingWeb.Net ได้รางวัลที่ 2 นะครับ
ด้วยเหตุผลของน้องๆพริ๊ตตี้ที่ว่าาภาพของเราเห็นแล้วองค์ประกอบภาพมันครบ และ มันใช่ ตรงกับหัวข้อ Balance of Performance
ภาพที่ร่วมเข้าประกวดจาก CarClub กลุ่มอื่นๆ
หลังจากผ่านในช่วงเช้ามาแล้วก็พักรับประทานอาหาร เรียบง่าย อร่อย สบายๆ
เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จจึงเดินเล่น ดูและซนโน่นนี่นั่นไปเรื่อย มาเจอกับผู้ชายคนนี้ด้วย
และก็มี Renault Clio ตัว One Make Race มาจอดเตรียมไว้สำหรับกิจกรรมต่อไป
แล้วจึงเริ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายคือ Safety SUV โดยใช้ยาง Michelin Latitude Tour HP เทียบกับยางคู่แข่ง
โดยรถที่ใช้คือ Pre Runner, Colorado, Pajero Sport ซึ่งทาง RacingWeb.Net ได้ทดสอบ Pre Runner
โดยการทดสอบก็จะวิ่งรอบทั้งสนามเหมือน Safety PC ครับเพียงแต่เป็นการวิ่งกลับด้านเพื่อไม่ให้ได้ความสนุกเพิ่มขึ้น
ผลการทดสอบในแต่ละ Station นะครับ
- จังหวะสลาลอมบนพื้นแห้ง Latitude Tour HP มี Grip ดีกว่ายางคู่แข่งเล็กน้อย
- โค้งบนพื้นแห้งก็รู้สึกถึงความแตกต่างกันเล็กน้อยเช่นกัน
- การวิ่งผ่านเส้นเชือกที่ขวางถนนอันนี้ผมแทบไม่รู้สึกถึงความต่างกันนะครับ อาจะเป็นเพราะกำลังทดสอบยางที่มีแก้มค่อนข้างหนามากๆ อยู่
- ในทางโค้งพื้นเปียก Under ทั้งคู่นะครับแต่ Latitude Tour HP จะคอนโทรลรถได้ง่ายกว่า
- ส่วนระยะเบรคนั้น V-Box วัดได้ค่อนข้างชัดเจนครับว่า Latitude Tour HP มีระยะเบรคที่สั้นกว่าเฉลี่ยเกือบ 3 เมตร
ในช่วงระหว่างการทดสอบ Safety SUV ในส่วนของผู้ที่นั่งรอก็จะมีการเทรนการขับรถ Renault Clio One Make Race
น้องคนนี้น่ารักนะฮะ
ระหว่างรอก็มาถ่ายรูปน้องๆพริ๊ตตี้เค้าซักหน่อย
2 คันนี้ก็เตรียมไว้ให้ทดสอบต่อไปเช่นกัน
เริ่มรอนาน...
แล้วก็มาถึงกิจกรรม Sport Experience
ซึ่งเป็นการทดสอบยาง Michelin รุ่น Pilot Sport 3
โดยได้จัดรถ Renault Clio ตัว One Make Race 6 Speed เกียร์ Dogbox แบบ Sequential เอาไว้ให้
และยังมี Benz C250 Coupe,SLK 200,C200 CGI ไว้ให้เลือกด้วยสำหรับผู้ที่ขับเกียร์ธรรมดาไม่เป็น
.... ทายซิว่า RacingWeb จะเลือกทดสอบยางด้วยรถคันไหน !?!?
สำหรับรายละเอียดยางรุ่น Pilot Sport 3 นั้นสามารถดูได้จาก
http://racingweb.net/forum/showthread.php/730187
ซึ่งในครั้งนั้น RacingWeb ได้รับเชิญให้ไปทดสอบยางรุ่นนี้กันมาแล้ว
ในครั้งนี้ Michelin จัดให้อีกครั้งโดยไม่ได้ทำการเปรียบเทียบกับยางคู่แข่งแต่อย่างใด
เน้นประสบการณ์ในการใช้ความเร็วกับยางรุ่นนี้ล้วนๆ
และเนื่องด้วย Clio ที่ทดสอบเป็นรถแข่ง จึงไม่มีผู้ควบคุมนั่งไปด้วย ทาง Michelin จึงมีเพียงแต่รถขับนำเพื่อไม่ให้เราขับกันเร็วเกินไป
แต่ดูรถขับนำเค้าขับสิ .... สรุปแล้วก็ค่อนข้างที่จะปล่อยให้ใช้ความเร็วได้สูงพอสมควรทั้งในทางตรงและในทางโค้งกันเลยทีเดียว
เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่ายางรุ่น Pilot Sport 3 นี้ถึงแม้จะออกแบบมาสำหรับรถบนถนน แต่ก็มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเอามาใช้กับรถแข่งในสนามแข่งได้เช่นกัน
ส่วนกลุ่มรถ Benz ก็จะมีผู้ควบคุมการทดสอบนั่งไปด้วยเพื่อแนะนำความเร็วที่จะใช้ในการทดสอบ
แต่ก็อย่างที่เห็นครับ เมื่อยางดีๆมาอยู่บนรถสมรรถนะสูง ก็สามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้อย่างราบรื่น
หลังจากนั้นก็เข้าสู่กิจกรรม Latitude Croos Experience
เป็นการทดสอบยาง Michelin Latitude Cross ซึ่งอยู่ในกลุ่ม All Terrain
ซึ่งเป็นการทดสอบโดยไม่ได้ทำการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แต่เน้นให้ผู้ทดสอบได้รับประสบการณ์จากการขับขี่ด้วยยางรุ่นนี้
โดยการขับในสนามดิน และทำการจับเวลาเพื่อหาผู้ที่ทำเวลาได้น้อยที่สุดด้วย
ซึ่งมีรถอยู่ 2 แบบคือ Vigo 4x4 กับ Ranger 4x2 ซึ่งใช้ไลน์ขับคนละไลน์กัน
RacingWeb.Net อยู่ในกลุ่มที่ใช้ Vigo 4x4 สำหรับทดสอบครับ
แต่ละคนจัดเต็มกันทั้งนั้น หมุนพวงมาลัยมือเป็นลิงกันเลยทีเดียว
อันนี้แข่งเสร็จเวลาเหลือก็เลยขอไปทดสอบ Ranger 4x2 กับเค้าหน่อย เป็นรถที่น่าประทับใจมากๆทีเดียว
แต่แล้วก็มีกิจกรรมเพิ่มความสนุกเข้าไปอีกโดยการให้ขับ Pajero Sport ขึ้นไม้กระดก
โดยจับเวลาว่าสามารถกระดกอยู่กลางอากาศได้นานเท่าไหร่ ก็จะเอาเวลาที่ได้ไปหักลบกับเวลาที่ทำได้จากการขับในสนามดิน
ผลการทดสอบครับ RacingWeb.Net เอารางวัลที่ 1 มาได้แบบฟลุ๊คๆ
เมื่อเสร็จกิจกรรมต่างๆ ก็กลับมาบรรยายสรุปผลการทดสอบกัน
รับมอบรางวัลภาพถ่าย Balance of Performance
เสร็จกิจกรรม Michelin พาไปทานข้าวเย็นที่ร้าน The Smoke House อาหารอร่อย บรรยากาศดี เพลงไพเราะ
จบแล้วครับสำหรับการร่วมทดสอบยางกับ Michelin
ในครั้งนี้ถือเป็นการจัดทดสอบที่ค่อนข้างดี ได้ทดสอบยางหลายรุ่น และจัดงานกระชับภายในวันเดียวไปเช้าเย็นกลับได้ดีเยี่ยมจริงๆครับ
และยางแต่ละรุ่นก็แสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างประทับใจเช่นเคย รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นระหว่างการทดสอบก็ดีมากๆ เช่นเคย
ขอขอบคุณ Michelin ในการให้โอกาส RacingWeb.Net เข้าร่วมทดสอบยางในครั้งนี้และครั้งที่ผ่านมาอย่างสม่ำเสมอ
ช่วยให้เราได้ทราบถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการออกแบบและผลิตยางในแง่มุมที่เราไม่เคยทราบ
หวังว่า RacingWeb.Net จะได้รับโอกาสเช่นนี้อีกในโอกาสหน้านะครับ....สวัสดี
รูป และ Review RacingWeb ได้รับเชิญให้ร่วมทดสอบยาง Michelin เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา
การสนทนาใน 'Review' เริ่มโดย Emporio, 30 มีนาคม 2012
ความคิดเห็น
การสนทนาใน 'Review' เริ่มโดย Emporio, 30 มีนาคม 2012