// ความรู้ตอนฝนตก // ใส่แว่นกันแดดตอนฝนตก มองเห็นชัด90%% บนถนนสายเอเชีย ประมาณตี 1 - ตี 3 คืนวันที่ 15 เข้าเช้ามืด 16 กรกฏาคมที่ผ่านมา เป็นรถคันที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เป็นประสบการณ์ตรงล่าสุดที่อยากจะมาถ่ายทอดเป็นเชิงวิชาการแบบง่ายๆ ครับ > > > > ขากลับจากพะเยา (ผมไปงานศพคุณแม่ของวิศวกรที่บริษัทครับ ) ผมโชคดีได้ พี่คนหนึ่งที่สนิทกันช่วยขับรถกลับให้ เพราะต้องกลับกรุงเทพเหมือนกัน ผมนั่งคุยกับแกมาตลอดทาง จนฝนตกหนัก แกถามว่าในรถมีแว่นกันแดดไหมจึงหยิบให้เขา เขาให้ผมลองใส่ดูปรากฏว่าเห็นทางชัดเจนมาก ทัศนวิสัยดีมาก ถึงจะไม่เทียบเท่ากับตอนฝนไม่ตก แต่ก็เกือบ 90%% > > แล้วผมก็รีบเอาแว่นให้พี่เขาความรู้โดยบังเอิญตรงนี้พี่เขาก็เล่าสถานการณ์ให้ฟัง ผมก็ฟังไปด้วย คิดถึงเหตุผล ไปด้วยจนค่อนข้างแน่ใจว่า > > > > โดยคุณสมบัติของแว่นกันแดดแล้วจะทำหน้าที่กรองที่เกินความจำเป็นในการมองเห็นและทำอันตรายของดวงตาออกไปยิ่งมีคุณสมบัติดียิ่งมีการเคลือบหรือเทคนิคในการผลิตดีตามและราคาสูง ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องนี้ไม่ควรประหยัด > > เมื่อเม็ดฝนที่ตกหนักตามแรงโน้มถ่วงของโลก จากที่สูงขนาดของเม็ดฝนซึ่งมีขนาด > > ต่างๆ ตกกระทบฝากระโปรงหน้าด้วยแรงกระแทกมหาศาลทำให้เม็ดฝนแตกกระจายอย่างละเ.ยดรวมทั้งบนหน้ากระจกรถของเราด้วย > > > > ในตอนกลางคืนหรือกลางวันก็ตาม จะมีแสงจากธรรมชาติอยู่แล้ว หรืออาจจะมาจากที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็น > > แสงสว่างต่างๆเม็ดฝนมีการสะท้อนแสง หรือบางขณะก็รวมตัวกันมากๆ แบบไม่เป็นระเบียบ > > จึงทำให้ภาพที่เรามองไปข้างหน้าบนถนน มี"ตัวกลาง " มากั้น ซึ่งก็คือม่านน้ำฝน และละอองฝน > > ซึ่งตัวมันเองก็มีค่าดัชนีหักเหอยู่แล้ว เมื่อบวกกับการสะท้อนแสง ของละอองฝน ทำให้ทัศนวิสัยจึงแย่มาก > > > > แว่นกันแดดจึงกรองแสงจ้าที่เกิดการสะท้อนจากละอองฝนและสายฝนที่อาบอยู่ > > บนกระจกหน้ารถ ชนิดที่เรียกว่า ที่ปัดน้ำฝน speedแรงสุดก็เอาไม่อยู่ ออกไป > > > > จึงทำให้ทัศนวิสัยในขณะขับรถตอนกลางคืน ฝนตกหนักเยี่ยมมาก > > > > ดังนั้นจึงสามารถใช้ความเร็วได้ในระดับหนึ่ง และปลอดภัยมาก > > > > ผมยังเชื่อว่า ถ้าเป็นตอนกลางวัน และฝนตกหนัก ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน > > ถึงจะยังไม่ได้ทดลอง แต่คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร > > > > ผมหวังว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ตรงครั้งนี้ คงเป็นประโยชน์กับหนอนทุกคน > ถ้าใครได้ทดลองใช้ก็นำมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ > > สุดท้ายนี้ภาพที่คมชัดขึ้นกับคุณภาพแว่นกันแดดด้วย > > ขอบคุณคุณ ปรีดา ลิ้มนนทกุล
ชูดไฟหน้าซีนอนแท้ โปรดอ่าน ไฟซีนอน ถูกนำมาใช้ในรถอย่างจริงจังเมื่อประมาณหลายปีมาแล้ว เริ่มต้นจากรุ่นราคาแพงหลายหมื่นบาท ก็เริ่มขยับถูกนำมาในรถราคาถูกลง แม้กระทั้งรถปิกอัพบางยี่ห้อก็มีใช้ แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ถือว่ามีใช้ในรถบางรุ่นเท่านั้น ถ้าไม่นับรถปิกอัพก็จะมีแต่รถคันละล้านกว่าบาทขึ้นไปที่มีใช้ไฟซีนอน จึงเหมือนเป็นระบบไฟพิเศษราคาแพง ยากที่จะได้ใช้ แต่ก่อนถ้าจะติดตั้งเพิ่มเติมก็ชุดละเป็นหลายหมื่นบาท หลายคนจึงรู้จักไฟซีีนอนเพียงผิวเผิน รู้แต่ว่ามีใช้ในรถราคาแพงและสว่างดี ส่วนการทำงานจริงเป็นอย่างไร หรือติดตั้งเพิ่มได้ไหม จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เปรียบเทียบการทำงานแบบง่ายๆ ของหลอดฮาโลเจน ก็คือ หลอดไฟแบบมีไส้ จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ไส้ร้อนเปล่งแสงผ่านก๊าซที่ชื่อ ฮาโลเจนที่บรรจอยูุ่ในหลอดรอบตัวไส้ ถ้าหลอดแตกจนก๊าซรั่วหรือไส้ขาดก็เสีย รับไฟ 12 โวลต์ตรงๆ จากระบบปกติของรถ การเปิดให้สว่างก็แค่จ่ายกระแสไฟเข้าไฟแสงจะสว่างขึ้นอย่างฉับไว แบบเดียวกับที่กะพริบไฟสูง หากยังงงให้นึกถึงหลอดไฟที่ใช้ในบ้าน เป็นหลอดกลมๆ ทรงคล้ายน้ำเต้า มีไส้ต่อไฟโดยตรงนั่นเอง แสงของไฟมักจะสว่างแบบอมเหลืองดูโปร่งๆ ส่วนหลอดไฟซีนอน ภายในบรรจุก๊าซชื่อ ซีนอน ไม่มีไส้โดยตรงแบบฮาโลเจน ทำงานคล้ายกับหลอดไฟนีออนที่ใช้ในบ้าน ต้องมีตัวแปลงและควบคุมกระแสไฟ เรียกว่า บัลลาร์ด เป็นกล่องคั่นระหว่างสายไฟปกติ ก่อนต่อเข้าตัวหลอด แสงจะออกมานวลๆ การเปิดให้หลอดซีนอนสว่าง ตัวบัลลาร์ดจะสร้างกระแสไฟฟ้าระดับ 20,000 กว่าโวลต์ ส่งเข้าไปยังตัวหลอดเพื่อจุดในครั้งแรก และในอีกประมาณ 1-2 วินาที ก็จะลดกระแสไฟฟ้าลงเหลือ 12 โวล์ต (หรือไม่กี่สิบโวลต์) ต่อเนื่องไป สรุปง่ายๆ ว่า ระบบไฟซีนอน มีกระแสไฟเป็นหมื่นโวลต์ถูกสร้างขึ้นด้วยกล่องบัลลาร์ดในช่วงสั้นๆ เพื่อจุดหลอดให้สว่างเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะลดไฟลงมาเหลือไม่กี่สิบโวล์ตคงความสว่างไว้ตัวหลอดซีนอน จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที กว่าจะสว่างเต็มที่หลังจากจุดครั้งแรก จึงทำให้ถูกใช้แต่หลอดไฟต่ำ แต่ไม่ใช้กับไฟสูง เพราะสว่างไม่ทัน ถ้ามีการกะพริบไฟหรือเปิดไฟสูงในทันที ไฟซีนอนที่มีทั้งไฟต่ำและสูง จึงไม่ใช่เป็นการแยก 2 หลอดจุดหลอดใหม่ แต่ใช้หลอดเดียวต่อข้าง สว่างตลอด และใช้การเลื่อนตัวหลอดหรือตัวบัง ให้เปลี่ยนเป็นไฟต่ำหรือสูงได้ในหลอดที่สว่างตลอดอยู่หลอดเดียว จับผิดอย่างไรว่า เป็นซีนอนแท้หรือไม่ เมื่อไรที่เห็นหลอดไฟหรือชุดไฟที่อ้างว่าเป็นซีนอนหรือเปล่า ดูโดยใช้หลักการง่ายๆ คือ 1. ตัวหลอดเป็นทรงที่คุ้นเคยหรือเปล่า มีไส้ให้เห็นชัดเจนหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เป็นหลอดฮาโลเจน ถ้าเป็นซีนอนจะซับซ้อนกว่าและมีช่วงหนึ่งเป็นตัวหลอดบรรจุก๊าซโล่งๆ 2. ซีนอนต้องมีกล่องบัลลาร์ดแปลงไฟ ขนาดประมาณเท่าฝ่ามือหนาครึ่ง-1 นิ้ว ถ้าต่อหลอดเข้ากับไฟ 12 โวลต์โดยตรง แสดงว่าเป็นฮาโลเจน โดยรวมแล้วสังเกตุที่ระบบได้ว่ามีกล่องบัลลาร์ดหรือเปล่า ถ้าหลอดต่อไฟตรงล่ะก็ไม่ใช่ซีนอนแน่ๆ หลายคนคิดว่า ซีนอนจะต้องแยงสายตาคนเสมอ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักระบบไฟซีนอน คิดแต่ว่าเมื่อไรเป็นซีนอนแล้วแสงต้องแรงแยงสายตาแน่ๆเพราะเคยเจอมากับตัวเองบนถนน ส่วนการแยงสายตา ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ตัวหลอด เพราะตัวหลอดก็มีใช้มีขายหลายค่าความสว่าง ไม่ใช่หลอดติดตั้งอยู่ลอยๆ แสงจะพุ่งออกมาได้ ต้องอาศัยจานสะท้อน ถ้าออกแบบจานสะท้อนมาดี มีการควบคุมการกระจายของแสงได้ดี ตัดขอบแสงไม่ให้กระจาย และมีการปรับตั้งมุมกดดี ถึงตัวหลอดจะมีแสงแรง แต่ก็จะไม่แยงสายตา จึงเตือนมาเพื่อทราบคับ ด้วยความหวังดีจาก ตาวิเศษ
กรณีรถแก๊สเกิดอุบัติเหตุ ควรปฏิบัติตัวเช่นนี้ เมื่อรถใช้แก๊สเกิดอุบัติเหตุ 1. อุบัติเหตุจากการชน - จอดรถ ดึงเบรคมือ เปิดกระจกรถ - ปิดสวิทช์กุญแจ และดึงกุญญแจออกจากสวิทช์กกุญแจ - ลงจากรถนำของมีค่า และถังดับเพลิง (ถ้ามี) ออกมาด้วย - เปิดฝากระโปรงหน้า และหลัง เพื่อสังเกตุดูอาการผิดปกติ - ( กรณีเป็นถังรุ่นวาวล์เขียว แดง ธรรมดา แบบใช้มือหมุน ) ให้ปิดวาวล์มือหมุนที่ถังแก๊ส แล้วเปิดฝากระโปรงท้าย (ถ้าปิดวาล์วไม่ได้ให้ปฎิบัติหัวข้อต่อไป) *ใน กรณีที่เป็นถังแก๊สที่ใช้มัลติวาวล์โทมาเซทโต้ อิตาลี ( TOMASETTO, ITALY) ไม่จำเป็นต้องปิด วาวล์ด้วยตนเอง เพราะมัลติวาวล์จะปิดวาวล์เองโดยอัตโนมัติทันทีที่ปิดสวิทช์กุญแจเครื่อง ยนต์ (หากเป็นกรณีต่อวงจรของสวิทช์แก๊สผ่านวงจรสวิทช์กุญแจรถยนต์ IGN ) - ดึงฟิวส์ของระบบแก๊ส ข้างแบตเตอรี่ออก เพื่อตัดการทำงานของระบบแก๊ส - หากมีกลิ่นแก๊สหรือน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รีบออกงพอสังเกตุเห็นได้ - หากมีเพลิงไหม้ให้รีบดับเพลิงที่ต้นเพลิงทันที หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน - หลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนจะใช้รถยนต์ ด้วยระบบแก๊สอีก ควรนำรถของท่านเข้ารับการตรวจเช็คจากช่างผู้มีความ ชำนาญ ในระบบแก๊สก่อน 2. อุบัติเหตุจากการกระแทกช่วงล่างหรือใต้ท้องรถยนต์ - จอดรถ ดึงเบรคมือ ดับเครื่องยนต์ แล้วดึงกุญแจอออก - ลงจากรถพร้อมสังเกตุกลิ่นรั่วของเชื้อเพลิงทั้งสองชนิด (ทั้งแก๊ส และ น้ำมัน) แล้วรีบปิดวาล์วมือหมุนถังแก๊ส(กรณีใช้ถังวาวล์มือ หมุนแบบธรรมดา) *ใน กรณีที่เป็นถังแก๊สที่ใช้มัลติวาวล์โทมาเซทโต้ อิตาลี ( TOMASETTO, ITALY) ไม่จำเป็นต้องปิด วาวล์ด้วยตนเอง เพราะมัลติวาวล์จะปิดวาวล์เองโดยอัตโนมัติทันทีที่ปิดสวิทช์กุญแจเครื่อง ยนต์ (หากเป็นกรณีต่อวงจรของสวทช์แก๊สผ่านวงจรสวิทช์กุญแจรถยนต์ IGN ) - ถ้าเชื้อเพลิงรั่วให้แจ้งเหตุฉุกเฉิน และไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์อีก เพราะอาจเกิดเพลิงลุกไหม้ได้ - ให้สังเกตกลิ่นเชื้อเพลิงรั่วประมาณ 5 นาที - ถ้าไม่มีกลิ่นเชื้อเพลิงรั่วให้ทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์ (ปกติระบบจะสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมัน ด้วยตัวระบบ อยู่แล้วทุกครั้ง) สังเกตกลิ่นอีกครั้ง ประมาณ 3 นาที - ทดลองเปิดวาวล์ที่ถังแก๊ส แล้วสวิทช์เข้าระบบแก๊ส สังเกตกลิ่นแก๊สอีกครั้ง ถ้าไม่มีกลิ่นผิดปกติ ก็ขับ ต่อไปได้ แต่ถ้ายังมีกลิ่นแก๊สอยู่ ให้ยกเลิกระบบแก๊ส แล้วขับด้วยระบบน้ำมันแทน (ควรนำรถของท่านเข้า ศูนย์บริการรถยนต์และศูนย์บริการแก๊สรถยนต์โดยเร็ว) การดูแลรักษารถยนต์ใช้แก๊ส 1. ตรวจเช็ครถตามระยะกำหนดของรถรุ่นนั้นๆ - น้ำหล่อเย็น - ควรใช้น้ำยาหล่อเย็นตามคู่มือกำหนด 2. น้ำมันเครื่อง - อาจเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ที่ใช้ระบบแก๊ส (LPG หรือ NGV) เป็นเชื้อเพลิง เช่น PTT PERFORMA สำหรับรถ Hybrid NGV/LPG 3. กรองอากาศ - ทำความสะอาดไส้กรองอากาศตามคู่มือกำหนด 4. ข้อต่อแก๊สทุกจุด - ตรวจการรั่วโดยใช้น้ำสบู่ หยอดที่ข้อต่อแก๊ส ทุกจุดที่สามารถทำได้เอง (ตรวจขณะเปิดใช้ระบบ แก๊ส) 5. ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงควรมีอยู่ในถังอย่างน้อย 1/4 ถัง เพื่อ 5.1. มีน้ำมันสำรองกรณีแก๊สหมด หรือระบบจ่ายแก๊สขัดข้อง 5.2. ช่วยลดการเกิดสนิมในถังน้ำมัน 5.3. ป้องกันปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเสียหายในกรณีที่ระบบแก๊สนั้นไม่ได้ตัดการ ทำงานของปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 6. เข้ารับบริการตรวจเช็คระบบแก๊ส ตามระยะเวลาที่อู่ / ศูนย์ติดตั้งแก๊สนั้นๆกำหนด 7. ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมัน เพื่อให้สตาร์ทง่าย ลดอาการสั่นขณะสตาร์ทและหล่อเลี้ยงระบบเชื้อเพลิง (ระบบแก๊สส่วนใหญ่ จะสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้งด้วยน้ำมันอยู่แล้ว) 8. การดับเครื่องยนต์ ควรดับด้วยระบบน้ำมันบ้างในบางวัน เพื่อให้น้ำมันเข้าสู่ระบบต่างๆ เช่นหัวฉีดน้ำมัน, กระบอกสูบ, ห้องเผาไหม้ ฯลฯ เพื่อไม่ให้ห้องเผาไหม้แห้งจนเกินไป ( แนะนำอย่างยิ่งให้ปฏิบัติดังกล่าวในกรณีที่ท่านจะต้องจอดรถ หรือไม่ ใช้ รถเป็นเวลานานหลายๆวัน) 9. ควรเติมแก๊สจากสถานีบริการที่มีมาตรฐาน (อาจมีสิ่งปลอมปนได้ในปั๊มแก๊สที่ไม่ได้มาตรฐาน) 10. หากไม่ใช้รถยนต์เป็นเวลานานหลายวัน ควรปิดวาล์วมือหมุนที่ถังแก๊ส เพื่อป้องกันแก๊สรั่วในกรณีที่ระบบวาล์วไฟฟ้าที่จุดอื่น บกพร่อง "ทั้ง หมดนี้เป็นการดูแลรักษารถยนต์ใช้แก๊สด้วยวิธีง่ายๆ ทุกท่านสามารถนำไปปฏิบัติได้ เพื่อความปลอดภัยของท่าน และเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ และระบบ Gas ในรถของท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ. "
ขอบคุณทุกคนครับ...อิอิ...อะไรที่ไม่ใช่ของเดิมติดรถ..ก็คอยสังเกตุกันหน่อยนะครับ.. ห่วงชาวคลับทุกคนครับ