ยี่ห้ออะไรคงไม่สำคัญนะครับ(แล้วแต่กำลังทรัพย์) แต่ที่หน้าเป็นห่วงก็คือเบอร์ของนำมันครับ ที่มันเขียนว่า 15W-50 - 0W-30 - 20W-50 ยี่เลขตัวหน้าน้อยเท่าไหรนำมันจะยิ่งบางลง จะเหมาะสำหรับรถใหม่ที่การสึกหรอน้อย แต่ของเราเครื่อง K มันเก่าแล้ว ผมว่า15W ก็น่าจะพอ(ผมใช้เบอร์นี้อยู่) ส่วนตัวเคยใช้ 5w สังเคราะห์ 100% แล้วเครื่องมันจะเสียงดังขึ้น พวกเสียง วาว์ล โซ่ แล้วมีคนใน คลับนี่แหละแนะนำผมมา ว่าต้องเปลี่ยนเบอร์ ผมก็จำที่พี่เค้าแนะนำมาบอกครับ
อธิบายแบบให้เข้าใจง่ายๆนะครับ น้ำมันเครื่องโดยทั่วๆไปจะแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ 1) น้ำมันเครื่องแบบเกรดธรรมดา น้ำมันเครื่องพวกนี้จะราคาค่อนข้างถูก สามารถใช้งานได้ แต่อายุการใช้งานจะสั้น การคงสภาพของน้ำมันจะคงสภาพได้ไม่นาน ต้องเปลี่ยนถ่ายให้ตรงกำหนดเวลา ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนถ่ายในระยะทุกๆ 5,000 กิโล 2) น้ำมันเครื่องแบบเกรด SEMI SYNTHETIC น้ำมันเครื่องพวกนี้ก็จะมีอายุการใช้งานไม่ต่างจากน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดามากนัก แต่ข้อดีก็คือ จะมีการผสมสารเคมีต่างๆที่ช่วยในการหล่อลื่น และปกป้องเครื่องยนต์ลงไปมากกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ถึงอายุการใช้งานจะไม่นานมาก แต่น้ำมันเครื่อง SEMI SYNTHETIC ก็สามารถปกป้องเครื่องยนต์ และหล่อลื่นได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 3) น้ำมันเครื่องแบบเกรด SYNTHETIC หรือน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% จะเป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนมากกว่าน้ำมันเครื่อง 2 แบบแรก และนอกจากนี้ก็ยังมีการผสมสารเคมีต่างๆที่ช่วยในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์เข้าไปอีก จึงทำให้น้ำมันเครื่อง SYNTHETIC มีคุณสมบัติในการปกป้องเครื่องยนต์และหล่อลื่นได้ดีกว่า น้ำมันเครื่อง 2 แบบแรก และนอกจากนี้น้ำมัน SYNTHETIC ยังสามารถคงสถาพความเป็นน้ำมันเครื่องที่ดีได้ยาวนานกว่า จึงทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 1,0000 - 12.000 ( ในบางยี่ห้อสามารถใช้ได้ถึง 15,000 ก็มี ) แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ เมื่อใช้น้ำมันเครื่องที่ใช้ได้ยาวนานแล้ว เราก็ต้องใช้กรองน้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพดีตามไปด้วย / เบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 5 W 40 - 0 W 30 - 20 W 50 เป็นต้น อธิบายแบบเข้าใจง่ายสุดๆก็คือ 1) เลขตัวหน้า จะบ่งบอกความค้นหนืดของน้ำมันเครื่องก่อนที่จะเริ่มติดเครื่อง ง่ายๆก็คือ ถ้าตัวเลขข้างหน้าเป็นเลข 0 จะหมายถึง ความหนืดของน้ำมันก่อนติดเครื่องจะเท่ากับน้ำเปล่า 2) เลขตัวหลัง จะหมายถึงค่าความค้นหนืดของน้ำมันหลังจากติดเครื่องแล้ว เช่น เลขตัวหลังเป็น 40 หมายถึง หลังจากที่เราติดเครื่องยนต์แล้วอุณภูมิของเครื่องยนต์ถึงจุดๆหนึ่ง ความหนืดของน้ำมันเครื่อง ก็จะคงความค้นหนืดเป็น 40 เท่าของความหนืดของน้ำเปล่า / หรือเอาให้เข้าใจง่ายมากขึ้นอีกก็คือ ตัวเลขตัวหน้ายิ่งน้อยก็จะเหมาะกับ ภูมิประเทศที่มีอากาศเย็น ยิ่งเย็นมาก ยิ่งต้องตัวเลขน้อย ถึงตัวเลขเป็น 0 ในสภาพอากาศอย่างเมืองไทย ไม่ต้องสนใจตัวเลขด้านหน้ามากนักครับ จะ 5 W - 10 W -15 W หรือ 20 W ก็ใช้ได้ครับ เรามาสนใจที่ตัวหลังจะดีกว่า เอาง่ายๆเช่นกันก็คือ ถ้าเครื่องที่ใช้เป็น เครื่องโซ่ หรือเป็นเครื่องเฟือง ก็ควรจะใช้น้ำมันเครื่องที่มีเลขตัวหลังเป็น 40 หรือ 50 แต่ถ้าเป็นเครื่องสายพานก็ควรจะใช้ 30 หรือ 40 ครับ