โช๊ครุ่นนี้ประกอบไปด้วย หัวโช๊คแบบ Ball joint การปรับสูงต่ำ เป็นปรับเกลียวหน้าตาธรรมดาๆไม่สไลด์กระบอก ถ้าจะปรับสูงต่ำ ปรับได้จากตัวแหวนสตรัทเท่านั้นซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับโช๊คที่อายุ จะ10ปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีของใหม่ขายอยู่นะครับถึงแม้จะมี DFV ออกมาแล้วก็ตาม และสำหรับโช๊คหน้ามีอีกวิธีหนึ่งก็คือการเลื่อนล็อค ของตูดโช๊คที่ยึดกับเกือกม้าล่าง ให้ยึดล็อกบนหรือล็อกล่าง จะให้ ความสูงต่างกัน 1ซม. รุ่นนี้ใครจะซื้อมือ2มาก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะ เก่าแล้วไม่ดี เพราะ Ohlins เป็นโช๊คที่ทำมาให้สามารถซ่อมหรือ Overhaul ได้ ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าได้มาแล้วจะมีปัญหาตามมา กวนใจ สปริงเดิมที่ให้มาเป็น2ชั้น สำหรับEKแล้วจะเป็น หน้า12k หลัง5k ส่วนสปริงเล็กๆนั่นคือ helper มีหน้าที่ช่วยไม่ให้ตัวสปริง ลอยจากเบ้าโช๊คเวลาขันสตรัทลงมาต่ำ ไม่ได้มีผลเกี่ยวกับความนุ่ม อย่างที่หลายๆท่านเข้าใจแต่อย่างใด ส่วนระดับความแข็งสามารถ ปรับได้ 32ระดับ ตั้งแต่นิ่มมากไปจนถึง แข็งทื่อ แต่ก็ยังไม่กระด้าง อยู่ดีนะครับ
โช๊คชุดที่ผมได้มา(ขออภัยที่ไม่ได้ถอดมาถ่ายรูปให้ดู) เป็นโช๊คที่ถอดมา จากรถแข่งของ ดร.โม เซียนฮอนด้าและผู้อยู่เบื้องหลังของรถฮอนด้าสวยๆ ระดับประเทศหลายคัน ด้วยความสนิทสนมและผมเองก็เคยเป็นนักแข่ง มาก่อน ประกอบกับดร.โมได้ทำรถแข่งออกมา1คันเป็น EK9 พอรถเสร็จ เค้าก็ชวนผมไปลองขับและช่วยกันปรับเซ็ทโช๊ค ให้เหมาะกับการแข่งที่สุด สปริงที่ใช้จะว่าไปก็ถือว่านิ่ม แต่ก็อีกนั่นแหละ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน สไตล์การขับไม่เหมือนกันส่วนตัวผมคิดว่าสปริงนิ่มขับง่ายกว่า และอีกอย่าง มันติดมากับโช๊คอยู่แล้วด้วย สปริงชุดนี้เจ้าของเก่าเปลี่ยนมาเป็น หน้า 10k หลัง8k ก็กะว่าเอามาลองวิ่งไปก่อนซึ่งครั้งแรกที่ได้ออกไปลองขับก็บอกได้ คำเดียวว่าผมชอบมากกกก โช๊คอะไรทำไมมันถึงหนึบแต่ไม่แข็ง ยุบแล้วหยุดแต่ไม่กระด้าง เป็นโช๊ค ที่ขับง่ายมาก ถ้าคนที่ชอบอาการรถแบบแน่นๆ ไปพริ้วๆนุ่มๆหน่อยรับรอง ว่าถูกใจ อาการรถดูนุ่มๆ เหมือนจะตอบสนองช้าเลี้ยวไม่คมเท่าโช๊คแข็งๆ แต่พอลองเลี้ยวเข้าไปจริงๆมันกลับเลี้ยวง่าย การเลี้ยวไม่คมไม่ใช่ปัญหา แต่อย่างใด แต่จะเจอปัญหาที่พี่เต้เคยว่าไปนั่นก็คือ โช๊คมันซับความรู้สึก จากถนนไว้เยอะ ทำให้เราต้องจับอาการรถไวๆหน่อยถ้าเราต้องการจะเค้น ความเร็วในโค้งจากมันจริงๆ ในเรื่องของการ Bump&Rebound นี่ ผมประทับใจมากเพราะมันนุ่มและแน่น ยุบทีเดียวแล้วหยุดเลย ไม่มีอาการ กระเด้งกระดอนออกมาให้เห็น เรียกได้ว่าหลังจากได้ลองขับทำเอาผม อยากได้ขึ้นมาเลย และสุดท้าย ดร.โมก็ยอมขายให้ผมในราคาถูกแสนถูก
สิ่งที่สัมผัสได้จากการใช้งานบนถนนนั้นเรียกได้ว่าขับนุ่มสบายครับ พวกรอยต่อถนนนี่เก็บได้เรียบ จังหวะโดดคอสะพานก็แน่นดี แต่ต้องปรับค่าความแข็งไว้ที่15ขึ้นไปนะ ไม่งั้นจะรู้สึกว่ารถมัน ยุบเยอะหน่อย เสียงการทำงานของโช๊คเวลาเจอหลุมหรือลูกระนาดก็ทำงานได้เงียบ ใครที่ชอบ สมรรถนะและความสบาย ตัวเลือกนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ใกล้เคียงกับความต้องการนั้นมากที่สุดครับ สุดท้ายปัญหาที่พบบ่อยของเจ้าโช๊ค Ohlins PCV ที่ใส่ใน EK นั่นก็คือแกนโช๊คชอบหลวม หรือลูกสูบในโช๊คหลุดออกจากแกน ทำให้เวลานำไปใช้งานมีเสียงดัง กึกๆกักๆ ถ้าจะซื้อแนะนำ ให้ลองถอดสปริงออกจากโช๊คเพื่อที่จะได้รองขยับแกนโช๊ค หรือดึงแกนโช๊คขึ้นๆลงๆว่ามันมีระยะ ฟรีเยอะมั๊ย ถ้าพบว่ามันหลวมแต่โช๊คยังหนืดและมีแรงดันปกติเราสามารถซ่อมได้ ขออย่าให้ ลูกสูบแตกแล้วกันครับ.
บ่นกับพวกปลิงมาเยอะ เสียอารมณ์ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมเองไม่เคยได้ใช้ Flex จริง ๆ จัง ๆ สักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเคยขับจากรถของ Jack และของพี่โส แล้วก็ยังไม่เคยได้ลองใช้ เต็ม ๆ ในสนามเลย ข้อมูลที่จะนำมาเสนอ คงเป็นข้อมูลในเชิงการใช้งาน ทั่วไป รวมถึงข้อมูลจากรูปลักษณ์ภายนอกซะมากกว่านะครับ จากรูปนะครับ วัสดุที่นำมาผลิต Flex ตัวกระบอกโช๊คผลิตจากอลูมีเนียม ชุบ ดำมาถือว่าสวยงาม ตัวล็อคสตรัทก็ผลิตมาจากอลูมีเนียมเช่นกัน ชุบสีเขียว พร้อมพิมพ์ยี่ห้อ TEIN ไว้ให้รู้ว่าเป็นของแท้แน่นอน
ตัวล็อคสตรัท และตัวล็อคกระบอก หน้าตาเหมือนกันครับ มีมาให้ทั้งหมด 3 ตัว สามารถใช้แทนกันได้ สำหรับ Type Flex นี้ถือว่าเป็นโช๊คที่มาสารถปรับสูงต่ำ ได้ทั้ง 2 วิธีนะครับ คือขันที่ตัวดันสปริง หรือจะสไลด์กระบอกก็ได้ ข้อดีของโช๊ค ที่สไลด์กระบอกได้คือคือ ค่า Pre Load ของสปริงไม่เปลี่ยน ไม่ต้องออกแรงขันที่ตัวล็อคสปริง เพราะแรงสปริงมันรั้งอยู่ ขันยาก และฝืดมาก แต่ใช้วิธีสไลด์กระบอกจะง่ายกว่า ขันง่าย ๆ ลื่น ๆ แค่ถอดล้อออกมาอย่างเดียว มันมีเทคนิค วิธีการสไลด์ง่าย ๆ แต่อธิบายค่อนข้าง งง ถ้ามีเวลาจะถ่ายรูปลงมาให้ดูอีกทีครับ
ข้อดีอีกข้อนึง ของ TEIN ที่ผมค่อนข้างจะชอบ ก็คือ TEIN จะเน้นรายละเอียด เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นอย่างดี อะไหล่ของ TEIN ทุกชิ้นจะตีตรายี่ห้อไว้หมด แม้แต่ ยางกันฝุ่น หรือแหวนพลาสติกรองสปริง ก็จะมียี่ห้อบอกไว้ สำหรับคนที่กำลังมอง หาโช๊คยี่ห้อนี้ ก่อนที่จะจ่ายเงินไป ลองตรวจเช็คอะไหล่จุกจิกพวกนี้ด้วยนะครับ จะได้ไม่โดนยำของ Type Flex จะมีแหวนพลาสติกรองสปริงมาให้ด้วยครับ แหวนตัวนี้มีประโยชน์ คือป้องกันเสียงดังรำคาญ จากการเสียดสีของสปริง และแหวนล็อค ผมสังเกตุ ดูยี่ห้ออื่น ๆ ไม่ค่อยจะมีแหวนแบบนี้มาให้ ทำให้เวลาขับอาจจะมีเสียงดังจิ๊ก ๆ น่ารำคาญ แต่ TEIN ใส่ใจในรายละเอียดตรงนี้ เลยมีมาให้ด้วย ผมล่ะชอบจริง
สปริงมาตรฐานของ Flex ที่มาจกาโรงงานจะเซ็ทค่าไว้ข้างหน้า 9K และข้างหลัง 5 K ครับ วิธีดูค่า K ของยี่ห้อ TEIN ก็ดูตามรูปเลยก็แล้วกัน ตัวอักษรที่เขียนว่า W090 ตัว 090 ก็หมายความว่าสปริงตัวนี้มีค่า K เท่ากับ 9 กิโลกรัม/มิลลิเมตร แต่สำหรับผู้ที่ต้องการให้โช๊คแน่น และแข็งกว่านี้โดยส่วนตัวผมคิดว่าสามารถเซ็ทค่าสปริงให้แข็งกว่านี้ก็ได้ครับ ส่วนผู้ที่เน้นใช้งานแบบปกติทั่วไป ค่านี้ถือว่าแม็ตกับการใช้งานแบบ Street Use มาก ๆ ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ สปริงของ TEIN รุ่นต่าง ๆ อย่าง HA, RA, Flex, Mono Flex, Super Street สปริงของแต่ละรุ่นมีค่า K และความสูงที่แตกต่างกัน แต่สามารถใช้ ร่วมกันได้ บางทีโช๊คที่ได้มาอาจจะโดนสลับสปริงมา ต้องดูให้ดู และหาข้อมูล ก่อนจะซื้อด้วยนะครับ เพราะถ้าได้สปริงไม่ตรงรุ่นมา Feeling การใช้งานก็ จะเปลี่ยนไป แต่ถามว่ามีปัญหาระยะยาวหรือป่าว ก็ต้องบอกว่าไม่มีปัญหา แต่ มันไม่สมบูรณ์ตรงรุ่น 100 เปอร์เซนต์ครับ
การปรับนืด จะปรับที่หัวโช๊คครับ ตัวปรับจะเป็นตัวหมุน สามารถถอดได้ โดยใช้ประแจเบอร์ 8 ขันออกมา ตรงนี้ของ TEIN จะมีปัญหาบ่อย คือ ปรับยาก ฝืด วิธีแก้ก็คือถอดออดมา แล้วใช้น้ำมัน WD-40 หรือ Sonax ฉีดที่หัวปรับ รวมทั้งตัวปรับที่อยู่ด้านในแกนโช๊คด้วย Type Flex สามารถปรับหนืดได้ทั้งหมด 32 ระดับครับ ถือว่าเป็นโช๊ค ที่มีช่วงการใช้งานกว้างพอสมควร เมื่อปรับอ่อน ๆ นุ่ม ๆ ขับใช้งานทั่วไป สบาย ๆ ไม่กระด้าง นุ่ม ๆ หนึบ ๆ แต่เมื่อปรับแข็ง จะมีอาการกระด้าง นิด ๆ เมื่อวิ่งบนถนนปูนจะค่อนข้างรู้สึกถึงรอบต่อถนนได้นิดหน่อย แต่ไม่ ออกอาการจนจุก ถือเป็นเอกลักษณ์ของ TEIN อยู่แล้วครับ ต้องมีติดอาการณ์ กระด้างนิด ๆ ดิบ ๆ หน่อย ๆ ถึงจะมัน หัวของ Flex สามารถต่อกับ EDFC ได้โดยการถอดตัวปรับด้วยมืออก โดย การใช้ประแจเบอร์ 8 ตามที่บอกไป แล้วใส่ EDFC เข้าไปแทนได้เลยครับ แต่ต้องเลือก EDFC ให้ตรงรุ่นด้วยนะครับ เพราะ EDFC จะมีสองแบบคือแบบหัวเบอร์ 8 และเบอร์ 10 ครับ
หัว Ball Joint ที่ติดมากับโช๊คชุดนี้ เป็นของ TEIN HA ครับ แต่เอามาใส่กับ Flex ได้ ไม่มีปัญหา จริง ๆ แล้วของตรงรุ่นของ Flex ก็หน้าตาคล้าย ๆ กันแต่จะเป็นมีเขียว และหนามากกว่านิดนึงเท่านั้นเอง วิธีเช็คว่า Ball Joint เสื่อมสภาพหรือยังก็ต้องถอดหัวออกมา แล้วดูที่ Bearing ด้านใน เอามือขยับต้องหนืด ๆ ถ้าหมุนลื่น ๆ คล่อง ๆ นั้นเตรียมตัวเสียตังค์ซ่อม ได้เลยครับ ต้องขยับขึ้นลง ไม่ได้ หมุนซ้าย หมุนขวาได้ แต่ต้องฝืด
เมื่อประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน หน้าตาก็จะเป็นประมาณนี้ครับ น่าใช้ ดูดี ไม่น้อยหน้ายี่ห้ออื่น เสียอย่างเดียวทำไม TEIN ไม่ทำเบ้ามาเป็นอลูมีเนียม ก็ไม่รู้ ตัวที่เป็นอลูมีเนียมทั้งตัวก็เป็น Mono Flex ซึ่งราคาก็โดดไปมาก ตามสูตรครับ ขันสปริงไปจนชน แล้วขันแหวนล็อคขึ้นไป 5 มิล ค่า Pre Load จะได้ไม่แข็งมาก ความเห็นส่วนตัว และบทสรุป สำหรับชั่วโมงนี้คงไม่มีกระแสโช๊คยี่ห้อไหนมาแรงเท่ากับ TEIN แล้วครับ เพราะเท่าที่รู้ศูนย์ซ่อม TEIN ตอนนี้ก็มีไม่ต่ำกว่า 3 - 4 แห่ง และราคา ขายต่อไม่ตกมาก เรียกได้ว่าซื้อง่าย ขายคล่อง อะไหล่ และ Accessories มีเพียบ สำหรับคนที่ต้องการสมรรถนะ ชนิดที่ว่าโช๊คชุดเดียว ไปได้ทุกที่ผมว่า TEIN Type Flex สามารถตอบโจทย์ได้ ไม่ว่าคุณจะขับรถใช้งานทุกวัน ใน กทม หรือออก ตจว โช๊คชุดนี้ให้ความมั่นใจได้ในทุกระดับความเร็ว ส่วนสมรรถนะ ในโค้งเท่าที่เคยลองมาอาจจะเป็นรองรุ่นอื่น ๆ อยู่บ้าง ไม่ก็ ไม่ถึงกับน่าเกียจ ถือว่าเป็นโช๊คสารพัดประโยชน์เลยก็ว่าได้ เนื่องมากมีช่วง การปรับใช้งานที่กว้าง เซ็ทนุ่ม ๆ ขับในเมืองสบาย ๆ ถ้าอยากซิ่งหน่อยก็ ปรับแข็ง ๆ ขึ้นไป อาจจะมีอาการกระเด้ง กระด้างเก็บขอบปูนนิด เป็นนิสัย ของโช๊คยี่ห้อนี้อยู่แล้ว Review การใช้งานแบบเน้น ๆ หรือใน Circuit รอฟังจาก User ท่านอื่น ๆ ที่เอาไปวิ่งในงาน Track Day ที่ผ่านมาดีกว่าครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ และขอบคุณ EK Group รวมถึง RCW สำหรับพื้นที่ดี ๆ แห่งนี้ด้วยครับ
พี่ ๆ ขอทราบวิ่ธีการถอดยางแท่นเครื่องที่คับจะอัดซิลีโคน ต้องถอดที่ละข้างหรือว่าอย่างไรคับต้องใช้พวกแม่แรงด้วยหรือเปล่าเมื่อวานลองก้มดูตัวล่างมันแตกแล้วรู้สึกมีน๊อตประมาณ 3 ตัว(ข้างละ) ขอความรู้ทีคับถ้าทำเองได้จะได้ทำเอง
ขออนุญาตผู้ดูแลเวปด้วยครับ ถ่ายน้ำมันเกียร์ไม่ยากอย่างที่คิด มาเริ่มกันเลยครับ ภาพที่ 1. ถอดน๊อตมันออกมา 2. ตัวถอดมันใช้เบอร์ 9.5 นะครับ 3. เห็นกันชัดๆครับ
ภาพที่ 4. ตัวน๊อตถ่ายน้ำมันเกียร์ ตรงปลายมันเป็นแม่เหล็ก เอาไว้ดูดเศษโลหะครับ 5. น้ำมันเกียร์อัตโนมัติใช้ 3 ลิตร ราคา 500 กว่าบาท 6. จุกถ่ายเพื่อให้มันแน่นผมใช้เทปพันเกลียวท่อปะปาแทนครับ รับรองไม่ละลาย
ภาพที่ 7. พันใหม่เพื่อความแน่นหนา มันจะได้ไม่หลุด ตอนรถวิ่งสะเทือน และตอนเอาไปล้างอัดฉีด 8. รูช่องเติมน้ำมันเกียร์ ควรถอดหม้อกรองอากาศออกก่อน เพื่อจะได้ทำงานง่ายขึ้น 9. กรวย ของผมสำหรับเติมน้ำมันเกียร์ครับ
ภาพที่ 10. น๊อตแม่เหล็กแรงดูดเพียบ ประแจเบอร์ 12 - 13 ดูดลอยได้เลยครับ 11. เสร็จแล้วก็ปิดไขให้แน่น 12. น้ำมันเกียร์ผมถ่ายทุกๆ 20,000 กิโล
มาใส่กรองอากาศ ตู้แอร์ตัวนอกกันครับ ตู้แอร์นอกตัวนี้แผงคอยแอร์มันจะใหญ่กว่าตู้บ้านเรา ใช้น้ำยา R 134 a ใช้น้ำยามากกว่าตู้เก่าเดิมๆ เย็นกว่าและเย็นเร็วกว่า ทำมากับมือ ล้างเองถอดเองประกอบเอง ซื้อน้ำยาไปให้ช่างเติมให้ ใส่ทั้งตู้แทนตู้เก่าได้ ไม่ต้องดัดแปลง อย่าลืมเปลี่ยนโอลิง แอร์มันมีอยู่ 2 ตัว ครับ ขอบคุณ คุณ *-* BENZ _ Si *-* ที่ให้ข้อมูลเรื่องกรองอากาศแอร์ http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=635784 ภาพที่ 1. ถ่ายก่อนจะใส่กรองอากาศแอร์ 2. ยัดใส่พอดี แต่ฝืนนิดหน่อย
ภาพที่ 3. ยัดใส่ได้พอดี มันมีฝาปิดของตู้แอร์ด้วยแต่ลืมถ่าย 4. ตัวรูปกรองอากาศ ของรุ่นอะไรดูได้เลย ภาพชัดเจน
ภาพที่ 5. ตัวกรองมันเป็นกระดาษนะครับบางๆ 6. ทั้งกล่องทั้งตัวกรอง กรองตัวนี้เบิกที่ศูนย์มิตซู ราคา 485 บาท ครับ
การดูแลรถมือสองเบื้องต้น รถมือสองมาแล้วทำอย่างไรต่อไป เมื่อคุณเก็บหอมรอมริดได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว บางทีอาจเป็นรถคันแรกของบ้านคุณ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 1. ทำความรู้จัก อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง สิ่งที่คุณต้องรู้จักดังต่อไปนี้ - รุ่นของรถ/ปี บ่อยครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อรุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหาแน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน - เครื่องยนต์ คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์ ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ เช่นใช้มิตซู-แลนเซอร์ บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้ บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้ แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ - จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์ หม้อน้ำรถ หม้อพักน้ำ น้ำฉีดกระจก น้ำกลั่นแบตเตอรี่ ฯลฯ อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียงเรื่องรถกับผมบ่อยๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับน้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ - ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max Min - เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย - ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว ห้ามอย่าเติมจนล้น - ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้ อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี - ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เป็น บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดี - ดูระดับน้ำมันเบรก บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน - ดูระดับน้ำยาแอร์ ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์ สังเกตถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นในเลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย 2. เปลี่ยนซะให้เรียบ - น้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้ บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป แต่ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะแล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะสมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป ว่างๆผ่านไปแวรจักรก็ไปซื้อซะ ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้ ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า - ใส้กรองอากาศ ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก - ใส้กรองเบนซิน สุดท้ายใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์ จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้น กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้ อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก 3. ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์ สายหัวเทียน หัวเทียน ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้ คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ สายหัวเทียนเก่ารึเปล่า หากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดี แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย 4. คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง - ถ่วงล้อ อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็วสูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า ถ่วงจี้ เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ - ยางรถ ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะบอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายังเต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่ ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู การเติมลม ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี - เช็คช่วงล่าง ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้ หากยังพอใช้ได้ 5. มาดูภายในรถกันบ้าง - หากรถมีกลิ่น แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง หาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารักกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น - ยางรองพื้น บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม แนะให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้ - น้ำยาต่างๆ หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ ยาขัดเบาะ ยาขัดสีรถ หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง - เสียงดังหน้าคอนโซล อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย 6. สังเกตกันบ้าง - ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ อาจทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว - แอร์ หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์ แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ อย่างผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยทีเดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่ ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง - ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่ ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์ หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่ และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ KOS
Credit : zeraph Honda Domani หรือ Isuzu Gemini ใช้เครื่องยนต์ D15B,D16A,ZC1600,B18B ขายอยู่ที่ญี่ปุ่น แคนาดา ยุโรป และตะวันออกกลาง ถ้าที่แคนาดาจะเรียกว่า Acura 1.6 EL ถ้าขายที่ยุโรปจะเป็นตัวแวน 5 ประตู ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นพี่น้องกับ Civic EK บ้านเรานี่เอง ต่างกันที่หน้าตานิดหน่อย และออฟชั่นภายในบางอย่าง เช่นกรอบแอร์ตรงกลางก็มีหลายแบบให้เลือก เรือนไมล์เป็นแบบ 180 กม./ชั่วโมง สีฟ้าแบบของบ้านเราเลย แต่ตัว Civic 96-97 ของบ้านเรา จะเป็นแบบ 220 กม./ ชั่วโมง สิ่งที่ฮิตที่สุดในบ้านเราคือฝาท้าย สามารถใส่กับ Civic ปี 96-97 ได้เลย ถ้าอยากเป็นด้านหน้าตาตี่ๆ ต้องเปลี่ยนเยอะ ไฟหน้า แก้มข้าง ฝากระโปรง กันชน กระจังหน้า ส่วน Honda Orthia คือรถรุ่นแวน ซึ่งมีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งตัวบอดี้ไม่เหมือนกับ Civic EK อย่างสิ้นเชิง จึงให้นำมาใช้ได้เฉพาะภายในเท่านั้น สิ่งที่ฮิตที่สุดที่นิยมนำมาใช้คือ แผงข้าง มีสามแบบ คือสีแดง สีน้ำเงิน และเป็นลายสก๊อต ที่สามารถนำมาใช้ได้กับตัว Civic EK 4 ประตูบ้านเราได้เลย ส่วนคอนโซลสามารถนำมาใส่ได้เลยเช่นกัน และที่เห็นเป็นออฟชั่นสุดฮิตในบ้านเรา คือ ตัวจอเนวิเกเตอร์ ที่น่าจะมาจากรถ Othia และ Domani สองรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน ใช้เครื่องยนต์ D13,D14,D16,B18B,B20B ระบบช่วงล่างเหมือนกัน จึงน่าจะใช้ร่วมกันได้ ทั้ง Civic EK , Orthia และ Domani ระบบเบรกแน่นอนว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ที่แรงกว่าย่อมมีระบบการเบรกที่ดีกว่าเป็นธรรมดา ถ้าจะใส่ต้องยกมาทั้งคอม้าเลยจะดีที่สุด ส่วนเรื่องการแปลงระบบเบรกนั้นรอคนอื่นมาอธิบายจะดีกว่า เอาเป็นว่าให้ดูที่รหัสคาลิปเปอร์เป็นหลักก็แล้วกัน ใครอยากแก้ไขหรือเพิ่มเติมตรงไหนก็มาแชร์ข้อมูลกันได้นะครับ เพราะข้อมูลของผมอาจจะขาดไปหรือผิดได้เช่นกัน ผมแค่คนรัก Civic EK คนนึงครับ
>>> Website Original Parts ครับ น่าจะเป็นประโยชน์บ้าง มีทุกเม็ดเลย เลือกรุ่นของรถยนต์ Honda ได้เลยครับ แต่ไม่แน่ใจนะครับว่า Part No. ของเค้าจะตรงกับศุนยื Honda หรือป่าว แต่ดูไว้เพื่อความรู้ก็แล้วกัน <<< http://www.hondaoriginalparts.com/honda_car_parts_block_selection_C30.php?mod_01=15427 ตัวอย่าง + อ้างถึง ตอบกลับ