ผู้ซื้อ Dragon Quest VIII ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้เตรียมสัมผัสกับเดโมแบบเล่นได้ของไฟนอลแฟนตาซี 12 ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่เคยเปิดให้เล่นในงาน Square-Enix Party เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยล่าสุดทางผู้จัดการเกมมีรายละเอียดของเดโมดังกล่าวมาให้ชมกันแล้ว ตัวเดโมนี้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องมาก แต่จะเน้นไปที่การให้ผู้เล่นได้สัมผัสระบบการต่อสู้แบบใหม่สไตล์เดียวกับเกมออนไลน์ โดยมีฉากภาพยนตร์ของประชาชนชาว Dalmasca ซึ่งเตรียมลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานของจักวรรดิ Archadian ขณะที่มีฉากของเหล่าตัวละครหลักกำลังเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อรับมือกับสงครามตามวิธีของตัวเอง เสียงพากย์ในเกมยังคงเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษมาให้ เช่นเดียวกับในงาน Square-Enix Party เดโมนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกจะมีพระเอกของเรื่อง Vaan สาวน้อย Penelo และอดีตแม่ทัพ Basch ในฉากที่มีลักษณะเป็นชายหาดในเขตร้อนชื่อว่า The Phon Coast และระบบการต่อสู้แบบ"Wait"ซึ่งระหว่างการต่อสู้ขณะที่ผู้เล่นกำลังเลือกคำสั่งหรือคาถา เวลาในฉากต่อสู้จะหยุดลงให้เรามีเวลาคิดวางแผนได้ ในส่วนนี้เราจะได้รับภารกิจให้จัดการไดโนเสาร์ยักษ์หน้าตาคล้าย T-Rex ชื่อว่า Rockeater ซึ่งจะโผล่มาต่อเมื่อ ผู้เล่นสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดชื่อ Sleipnir ได้ถึง 3 ตัวก่อน ในอีกส่วนเราจะควบคุมนางเอกของเรื่อง Ashe สลัดอากาศ Balthier และคู่หู Fran ในฉากวิหาร The Stilshrine of Miriam และระบบการต่อสู้จะเป็นแบบ"Active"ซึ่งในการต่อสู้เวลาจะเดินไปตลอดแม้แต่ตอนที่ผู้เล่นคิดตัดสินใจเช่นเดียวกับเกมออนไลน์ เหมาะสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้น ท้าทาย ในฉากนี้ผู้เล่นจะต้องเข้าไปสู่ด้านในของวิหาร ซึ่งจำเป็นต้องใช้กุญแจจากมอนสเตอร์ Adamantoise ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งในวิหารนี้ ในเดโมนี้ผู้เล่นจะเดินได้ในพื้นที่จำกัดเท่านั้นโดยสามารถควบคุมมุมกล้องได้อย่างอิสระ และจะไม่มีการตัดเข้าฉากต่อสู้แบบสุ่มเหมือนที่เคยมีอีกแล้ว แต่ศัตรูจะเดินไปมาให้เห็นกันในแผนที่แบบเดียวกับเกมออนไลน์ที่คุ้นเคยกันดี เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ก็จะเข้าสู่การต่อสู้ตรงนั้นทันทีโดยไม่ต้องตัดฉากให้เสียเวลา และศัตรูในเกมก็จะมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันไปเช่น มอนสเตอร์บางชนิดจะวิ่งเข้ามาไล่ล่าเราแบบดื้อๆ ขณะที่บางชนิดจะเกาะกลุ่มกันเข้ามา แถมด้วยการจัดแถวให้ตัวที่ใช้คาถาได้ไปหลบอยู่ข้างหลัง แล้วให้ตัวที่สู้ระยะประชิดมายันผู้เล่นไว้ หรือบางครั้งถ้าเราไม่ได้อยู่ใกล้ๆมอนสเตอร์บางชนิดอาจจะหันมาสู้กันเองซึ่งดูเป็นธรรมชาติกว่าการอยู่เฉยๆรอเล่นงานผู้เล่นอย่างเดียว นอกจากนี้มอนสเตอร์ยังสามารถเกิดใหม่ได้หลังจากถูกกำจัดไป ทำให้การต่อสู้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยผู้เล่นอาจหลีกเลี่ยงการปะทะกับศัตรูได้ง่ายๆ ขณะที่บางตัวอาจไล่ตามผู้เล่นแบบไม่ปล่อย ฉากต่อสู้จะมีแถบ Active Turn ซึ่งเมื่อเต็มจะสามารถเลือกคำสั่งได้คล้ายกับภาคก่อนๆแต่ผู้เล่นจะเดินไปมาได้อย่างอิสระขณะต่อสู้เหมือนเกมออนไลน์ และการใส่คำสั่งจะมีผลเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคำสั่งที่เราใส่ไปเช่น โจมตีธรรมดาหรือใช้ไอเทมอาจทำได้อย่างเร็ว ขณะที่การร่ายคาถาต้องใช้เวลานานตามประเภทของคาถา แต่ถึงจะมีลักษณะแบบเกมออนไลน์หลายอย่าง เนื่องจากเกมเป็นการเล่นคนเดียว การควบคุมพรรคพวกอีก 2 ตัวจึงมีระบบคอยช่วยที่เรียกว่า"Gambit"ซึ่งจะทำให้พรรคพวกของเราต่อสู้เองโดยอัตโนมัติ โดยในตัวเดโมนี้ยังไม่ให้ผู้เล่นเข้าไปปรับแต่ง Gambit ได้แต่ดูเหมือนจะตั้งไว้ให้สู้แบบสมดุลเท่านั้น และถ้าไม่พอใจสามารถปิด Gambit ได้โดยตั้งให้เป็น Off แล้วเลือกคำสั่งด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามระบบนี้มีผลมากในฉากวิหารเนื่องจากการต่อสู้แบบ Active ซึ่งไม่มีเวลาให้เลือกคำสั่งมากนัก จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ Target line system ซึ่งจะมีเส้นแสดงสถานการณ์ของเรากับศัตรูอย่างเช่น เส้นน้ำเงินจากพวกเราไปหาศัตรูหมายถึงพวกของเรากำลังเล็งโจมตีไปที่ศัตรูตัวนั้น ขณะที่เส้นสีแดงจากศัตรูหมายความว่าคนๆนั้นกำลังตกเป็นเป้าหมายของศัตรู ช่วยให้การวางแผนของผู้เล่นต้องรัดกุมยิ่งขึ้นเหมือนกับเกมออนไลน์ ส่วนของเวทย์มนตร์คาถาในเดโมนี้มีให้เห็นแล้ว 4 ประเภทคือ มนตร์ขาวสำหรับการรักษา,มนตร์ดำสำหรับการจู่โจม,มนตร์เขียวสำหรับคาถาเกี่ยวกับสเตตัสผิดปกติ และมนตร์เวลาสำหรับคาถาเกี่ยวกับเวลาเช่น เร่งความเร็วหรือทำให้ช้าลง และคาถาบางชนิดจะมีผลแบบเป็นพื้นที่เช่น มนตร์ขาว Cura สามารถฟื้นพลังให้ทุกคนที่อยู่ในรัศมี โดยคาถาทุกชนิดจะต้องใช้ค่า MP ซึ่งสามารถฟื้นขึ้นมาเองได้อย่างช้าๆ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมไฟนอลแฟนตาซีมาตลอดอย่างมนตร์เรียกอสูรก็มีมาให้ใช้ในเดโมนี้แล้วโดยผู้ที่ใช้ได้ยังมีแค่ Vaan และ Ashe 2 ตัวเอกเท่านั้น เมื่ออัญเชิญอสูรออกมาจะเสีย MP ทั้งหมดและพรรคพวกของเรา 2 คนจะหายไป เหลือเพียงผู้เชิญกับตัวอสูรเท่านั้น โดยอสูรที่เชิญมาจะสามารถต่อสู้ปกติหรือใช้ท่าพิเศษได้หลากหลายเช่นเดียวกับในภาค 10 และที่พิเศษกว่าภาคก่อนๆคือ เมื่อจบการต่อสู้อสูรที่เชิญมายังไม่หายไปแต่จะอยู่กับเราต่อและสามารถเอาไปสู้กับศัตรูต่อๆไปได้จนกว่าจะหายไปเมื่อหมดเวลาที่กำหนดไว้หรือเสีย HP จนหมด และพรรคพวกอีก 2 คนจะกลับมาแทน ในส่วนของกราฟิกและบรรยากาศจะต่างไปจากภาคก่อนๆอย่างมาก โดยจะให้ความรู้สึกเหมือนเกมอย่าง Final Fantasy Tactics และ Vagrant Story อย่างเช่น ผู้ออกแบบตัวละครในภาคนี้เป็นคนเดียวกันกับ 2 เกมดังกล่าว หรือวิหาร The Stilshrine of Miriam ซึ่งให้บรรยากาศเหมือนกับดันเจี้ยนในเกม Vagrant Story มาก นอกจากนี้ฉากชายหาดยังให้ความรู้สึกว่ากว้างและมีรายละเอียดในระยะไกลเหมือนกับเกมออนไลน์กว้างๆ ไม่ใช่แค่จำกัดเป็นพื้นที่เหมือนภาคก่อนๆ โดยภาพรวมแล้วไฟนอลแฟนตาซี 12 เป็นการ"ยกเครื่องใหม่หมด"เมื่อเทียบกับภาคออฟไลน์ที่เคยมีมาทั้งหมด แต่สำหรับคนที่เคยสัมผัสไฟนอลแฟนตาซี 11 อาจคุ้นเคยกับหลายๆอย่างในภาคนี้ ซึ่งเอาลักษณะเด่นๆมาใช้จนดูเหมือนการดัดแปลงภาค 11 มาเป็นออฟไลน์โดยเสริมองค์ประกอบของภาคเดิมๆให้เล่นคนเดียวได้ ขณะที่รายละเอียดของระบบสเตตัส การเลเวลอัพ สกิล อาวุธชุดเกราะ และการปรับแต่ง Gambit กับมนตร์อสูร ทั้งหมดยังคงถูกเก็บไว้เป็นความลับ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกล้าหาญนี้ เป็นข้อพิสูจน์จุดยืนของไฟนอลแฟนตาซีที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้เป็นอย่างดี ภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก : Gamespot ,IGN
ภาคนี้มันดูแปลกๆ แถมเหมือนพวก final tatic อีก แต่ต้องดูเนื้อเรื่องอีกที เพราะ final เนื้อเรื่อง แน่น ทุกภาคจริงๆ (ยกเว้น 11 - x-2 )