เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Portal
>
News
>
การแข่งรถแบบมาราธอนสุดทรหด 'Le Mans 24 Hours' สนามพิสูจน์สมรรถนะ ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ และนวัตกรรมของยางจาก Michelin
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="News, post: 7212873, member: 3"]<p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/wj40zc08/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-01.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>การแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 93 ปิดฉากลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาพอากาศปลอดโปร่ง การแข่งขันยอดนิยมรายการนี้มีทีมผู้ผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ 8 รายร่วมลงสนามแข่ง โดยทุกรายติดตั้งยางมิชลินให้กับรถแข่งของตน และเป็นอีกครั้งที่สมรรถนะและประสิทธิภาพสม่ำเสมอของยางมิชลินยังคงสร้างความประทับใจที่น่าจดจำให้กับการแข่งขัน</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/JhyKzD2y/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-02.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>บนสนามแข่งที่พื้นผิวอยู่ในสภาพแห้งตั้งแต่เริ่มจนจบการแข่งขัน ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางเป็นหัวใจสำคัญของแผนกลยุทธ์หลักของทีม โดยความยืดหยุ่นในการใช้งานที่เหนือกว่าของยางรุ่นนี้ส่งผลให้ทีมนักแข่งสามารถใช้ยางชุดเดียววิ่งต่อเนื่องสามช่วงการแข่งรถได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนยางในพิท (Triple Stints) และไม่กระทบต่อสมรรถนะในการขับขี่ แม้อุณหภูมิสนามแข่งระหว่างกลางวันและกลางคืนจะผันผวนและแตกต่างกันอย่างมากก็ตาม</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/TPZ0Ldzt/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-03.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>ปิแอร์ อัลเวส (Pierre Alves) ผู้จัดการฝ่ายการแข่งขันประเภทระยะยาวแบบมาราธอน หรือ "เอ็นดูรานซ์" (Endurance) ของ 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' เปิดเผยว่า <i>"การแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ในปีนี้ มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง นอกจากสภาพอากาศจะแจ่มใสเป็นใจต่อการแข่งขันแล้ว ยังมีผู้สนใจเข้าชมการแข่งขันตลอดช่วงสุดสัปดาห์จำนวนสูงถึง 330,000 คน อีกทั้งยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางยังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในใช้งานที่เป็นเยี่ยม โดยให้ประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอในการวิ่งต่อเนื่องสามช่วงการแข่งรถ หรือ Triple Stints ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมงของการแข่งขัน"</i></p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/yYBfyNk5/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-04.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>มิชลินคว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นสมัยที่ 28 ในการแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์’</b></p><p>ชัยชนะในฤดูกาลแข่งขันล่าสุดของทีม ‘เอเอฟ คอร์เซ่’ และทีม ‘เฟอร์รารี่’ ส่งผลให้มิชลินครองตำแหน่งแชมป์ในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ติดต่อเป็นสมัยที่ 28 นับจากหวนกลับมาเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันรายการนี้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2541 ณ สนามแข่งซาร์ธ (Sarthe) ขณะเดียวกันยังเป็นการคว้าชัยในการแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 สำหรับทีม ‘เฟอร์รารี่’ ทำให้ทีมที่มีฉายา "ม้าลำพอง" โดดเด่นเป็นพิเศษในรายการแข่งรถระยะทางไกล FIA World Endurance Championship (WEC) ประจำปี 2568 ด้วยการประเดิมกวาดชัยชนะ 3 สนามแรก</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/DygxjKGz/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-05.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>ความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความยั่งยืนและเทคโนโลยี</b></p><p>นอกจากเรื่องสมรรถนะ การแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ปีนี้ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับมิชลินในด้านกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Strategy) ด้วย โดยการผสานพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติสวีเดน ‘เอ็นไวโร’ (Enviro) ทำให้มิชลินสามารถนำยางรถไฮเปอร์คาร์ทุกเส้นที่ใช้ในการแข่งขันเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลผ่านการย่อยสลายโดยใช้ความร้อนในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน หรือ "ไพโรไลซิส" (Pyrolysis) โดยได้รับ ‘คาร์บอนแบล็ค’ (Carbon Black), น้ำมัน และเหล็กกล้า จากการรีไซเคิลกลับมาหมุนเวียนใช้ในการผลิตยางใหม่</p><p><br /></p><p>ขณะเดียวกัน มิชลินยังคงทุ่มเทคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่ายางตัวอย่างสำหรับจัดแสดง (Demonstration Tires) ในปัจจุบันใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วนสูงถึง 71% ถือเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จสู่การผลิตยางที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2593 ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดมาใช้ในยางสำหรับรถยนต์ต้นแบบ H24EVO ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน และรถแข่ง Porsche GT4 e-Performance ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% แล้ว</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/xCzstJGr/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-06.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>ยางที่พัฒนาขึ้นด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริงและพิสูจน์ศักยภาพบนสนามแข่ง</b></p><p>ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ (MICHELIN Pilot Sport Endurance) รุ่นปี 2568 ได้รับการออกแบบทุกขั้นตอนด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริง จึงช่วยลดจำนวนการผลิตยางต้นแบบลงได้อย่างมาก ซึ่งไม่เพียงเป็นการจำกัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง แต่ยังส่งผลให้ยางมีสมรรถนะในการใช้งานจริงที่ดีขึ้น</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/sggwb0P4/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-07.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>แนวทางสู่ปี 2569: ผลิตภัณฑ์ยางภายใต้แนวคิด Race to Vision</b></p><p>ภายในปี 2569 มิชลินจะรุกก้าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรุ่นใหม่สำหรับรถไฮเปอร์คาร์ที่ไม่เพียงใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วน 50% แต่ยังโดดเด่นด้วยลวดลายกำมะหยี่บนดอกยางที่เรียกว่า Race to Vision พัฒนาการดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในแผนงานของกลุ่มมิชลินที่มุ่งผสานสมรรถนะด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/GtnXNLz4/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-08.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>ความมุ่งมั่นที่โดดเด่นด้านโลจิสติกส์และบุคลากร</b></p><p>ในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ประจำปีนี้ มิชลินได้ระดมสรรพกำลังของบุคลากรด้านมอเตอร์สปอร์ตจำนวน 110 คน เพื่อให้บริการแก่พันธมิตร 21 รายซึ่งลงแข่งขันประเภทไฮเปอร์คาร์ โดยสนับสนุนยางทั้งสิ้น 4,100 เส้น แต่ได้จัดส่งยางจำนวน 3,700 เส้นไปล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" (Carbon Footprint) ที่เกิดจากการขนส่ง</p><p><br /></p><p>มร.อัลเวส กล่าวเสริมว่า <i>"ขอขอบคุณทีมงาน 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' ที่ทุ่มเทพลังกายใจให้บริการสนับสนุนพันธมิตรผู้ผลิตรถไฮเปอร์คาร์ทุกรายของเราอย่างเต็มที่ตลอดสัปดาห์การแข่งขัน ทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันให้แบรนด์มิชลินเป็นที่รับรู้และจดจำในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’"</i></p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/XqKs6RDQ/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-09.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>มิชลินครองโพเดียมในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ประจำปี 2568</b></p><p>สำหรับผลการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ครั้งที่ 93 นี้ ทีม ‘เอเอฟ คอร์เซ่’ ครองอันดับที่ 1 ด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 83 จากฝีมือการขับของ โรเบิร์ต คูบิกา (Robert Kubica), ฟิลิป แฮนสัน (Philip Hanson) และ เย่ อี้เฟย (Ye Yifei) ตามมาด้วยทีม ‘ปอร์เช่’ ซึ่งครองอันดับที่ 2 ด้วยรถแข่ง Porsche 963 หมายเลข 6 จากการขับของ เควิน เอสเตร (Kévin Estre), ลอเรนส์ แวนธูร์ (Laurens Vanthoor) และ แมตต์ แคมป์เบลล์ (Matt Campbell) ที่ควบคุมสมรรถนะการขับขี่และรับมือกับความกดดันจากการแข่งขันได้ดี โดยทีม ‘เฟอร์รารี่’ คว้าโพเดียมอันดับที่ 3 ไปครองด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 51 จากการขับของ อเลสซานโดร ปิแอร์ กีดี (Alessandro Pier Guidi), เจมส์ คาลาโด (James Calado) และ อันโตนิโอ จิโอวินาซซี (Antonio Giovinazzi)</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://i.postimg.cc/66CjZZ5n/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-10.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>บทสรุป</b></p><p><i>"เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าฝ่าฟันไปให้ไกลกว่านั้น"</i> แมทธิว โบนาร์เดล (Matthieu Bonardel) ผู้อำนวยการของ 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' กล่าวทิ้งท้ายอย่างมุ่งมั่น การแข่งขันครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ยางจะให้ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ แต่มิชลินยังคงคิดค้นนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมิชลินตอกย้ำบทบาทในฐานะแบรนด์ผู้บุกเบิกการสัญจรแห่งอนาคต ด้วยการผสานสมรรถนะ นวัตกรรมที่ยั่งยืน และความทุ่มเทของบุคลากร เข้าด้วยกัน[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="News, post: 7212873, member: 3"][center][img]https://i.postimg.cc/wj40zc08/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-01.jpg[/img][/center] การแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 93 ปิดฉากลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาพอากาศปลอดโปร่ง การแข่งขันยอดนิยมรายการนี้มีทีมผู้ผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ 8 รายร่วมลงสนามแข่ง โดยทุกรายติดตั้งยางมิชลินให้กับรถแข่งของตน และเป็นอีกครั้งที่สมรรถนะและประสิทธิภาพสม่ำเสมอของยางมิชลินยังคงสร้างความประทับใจที่น่าจดจำให้กับการแข่งขัน [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/JhyKzD2y/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-02.jpg[/IMG][/CENTER] บนสนามแข่งที่พื้นผิวอยู่ในสภาพแห้งตั้งแต่เริ่มจนจบการแข่งขัน ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางเป็นหัวใจสำคัญของแผนกลยุทธ์หลักของทีม โดยความยืดหยุ่นในการใช้งานที่เหนือกว่าของยางรุ่นนี้ส่งผลให้ทีมนักแข่งสามารถใช้ยางชุดเดียววิ่งต่อเนื่องสามช่วงการแข่งรถได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนยางในพิท (Triple Stints) และไม่กระทบต่อสมรรถนะในการขับขี่ แม้อุณหภูมิสนามแข่งระหว่างกลางวันและกลางคืนจะผันผวนและแตกต่างกันอย่างมากก็ตาม [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/TPZ0Ldzt/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-03.jpg[/IMG][/CENTER] ปิแอร์ อัลเวส (Pierre Alves) ผู้จัดการฝ่ายการแข่งขันประเภทระยะยาวแบบมาราธอน หรือ "เอ็นดูรานซ์" (Endurance) ของ 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' เปิดเผยว่า [I]"การแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ในปีนี้ มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง นอกจากสภาพอากาศจะแจ่มใสเป็นใจต่อการแข่งขันแล้ว ยังมีผู้สนใจเข้าชมการแข่งขันตลอดช่วงสุดสัปดาห์จำนวนสูงถึง 330,000 คน อีกทั้งยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางยังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในใช้งานที่เป็นเยี่ยม โดยให้ประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอในการวิ่งต่อเนื่องสามช่วงการแข่งรถ หรือ Triple Stints ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมงของการแข่งขัน"[/I] [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/yYBfyNk5/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-04.jpg[/IMG][/CENTER] [B]มิชลินคว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นสมัยที่ 28 ในการแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์’[/B] ชัยชนะในฤดูกาลแข่งขันล่าสุดของทีม ‘เอเอฟ คอร์เซ่’ และทีม ‘เฟอร์รารี่’ ส่งผลให้มิชลินครองตำแหน่งแชมป์ในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ติดต่อเป็นสมัยที่ 28 นับจากหวนกลับมาเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันรายการนี้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2541 ณ สนามแข่งซาร์ธ (Sarthe) ขณะเดียวกันยังเป็นการคว้าชัยในการแข่งรถรายการ ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 สำหรับทีม ‘เฟอร์รารี่’ ทำให้ทีมที่มีฉายา "ม้าลำพอง" โดดเด่นเป็นพิเศษในรายการแข่งรถระยะทางไกล FIA World Endurance Championship (WEC) ประจำปี 2568 ด้วยการประเดิมกวาดชัยชนะ 3 สนามแรก [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/DygxjKGz/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-05.jpg[/IMG][/CENTER] [B]ความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความยั่งยืนและเทคโนโลยี[/B] นอกจากเรื่องสมรรถนะ การแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ปีนี้ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับมิชลินในด้านกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Strategy) ด้วย โดยการผสานพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติสวีเดน ‘เอ็นไวโร’ (Enviro) ทำให้มิชลินสามารถนำยางรถไฮเปอร์คาร์ทุกเส้นที่ใช้ในการแข่งขันเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลผ่านการย่อยสลายโดยใช้ความร้อนในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน หรือ "ไพโรไลซิส" (Pyrolysis) โดยได้รับ ‘คาร์บอนแบล็ค’ (Carbon Black), น้ำมัน และเหล็กกล้า จากการรีไซเคิลกลับมาหมุนเวียนใช้ในการผลิตยางใหม่ ขณะเดียวกัน มิชลินยังคงทุ่มเทคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่ายางตัวอย่างสำหรับจัดแสดง (Demonstration Tires) ในปัจจุบันใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วนสูงถึง 71% ถือเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จสู่การผลิตยางที่ยั่งยืน 100% ภายในปี 2593 ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดมาใช้ในยางสำหรับรถยนต์ต้นแบบ H24EVO ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน และรถแข่ง Porsche GT4 e-Performance ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% แล้ว [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/xCzstJGr/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-06.jpg[/IMG][/CENTER] [B]ยางที่พัฒนาขึ้นด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริงและพิสูจน์ศักยภาพบนสนามแข่ง[/B] ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็นดูรานซ์’ (MICHELIN Pilot Sport Endurance) รุ่นปี 2568 ได้รับการออกแบบทุกขั้นตอนด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริง จึงช่วยลดจำนวนการผลิตยางต้นแบบลงได้อย่างมาก ซึ่งไม่เพียงเป็นการจำกัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง แต่ยังส่งผลให้ยางมีสมรรถนะในการใช้งานจริงที่ดีขึ้น [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/sggwb0P4/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-07.jpg[/IMG][/CENTER] [B]แนวทางสู่ปี 2569: ผลิตภัณฑ์ยางภายใต้แนวคิด Race to Vision[/B] ภายในปี 2569 มิชลินจะรุกก้าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรุ่นใหม่สำหรับรถไฮเปอร์คาร์ที่ไม่เพียงใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วน 50% แต่ยังโดดเด่นด้วยลวดลายกำมะหยี่บนดอกยางที่เรียกว่า Race to Vision พัฒนาการดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในแผนงานของกลุ่มมิชลินที่มุ่งผสานสมรรถนะด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/GtnXNLz4/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-08.jpg[/IMG][/CENTER] [B]ความมุ่งมั่นที่โดดเด่นด้านโลจิสติกส์และบุคลากร[/B] ในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์’ ประจำปีนี้ มิชลินได้ระดมสรรพกำลังของบุคลากรด้านมอเตอร์สปอร์ตจำนวน 110 คน เพื่อให้บริการแก่พันธมิตร 21 รายซึ่งลงแข่งขันประเภทไฮเปอร์คาร์ โดยสนับสนุนยางทั้งสิ้น 4,100 เส้น แต่ได้จัดส่งยางจำนวน 3,700 เส้นไปล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" (Carbon Footprint) ที่เกิดจากการขนส่ง มร.อัลเวส กล่าวเสริมว่า [I]"ขอขอบคุณทีมงาน 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' ที่ทุ่มเทพลังกายใจให้บริการสนับสนุนพันธมิตรผู้ผลิตรถไฮเปอร์คาร์ทุกรายของเราอย่างเต็มที่ตลอดสัปดาห์การแข่งขัน ทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันให้แบรนด์มิชลินเป็นที่รับรู้และจดจำในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’"[/I] [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/XqKs6RDQ/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-09.jpg[/IMG][/CENTER] [B]มิชลินครองโพเดียมในการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ประจำปี 2568[/B] สำหรับผลการแข่งขัน ‘เลอ ม็องส์ 24 ชั่วโมง’ ครั้งที่ 93 นี้ ทีม ‘เอเอฟ คอร์เซ่’ ครองอันดับที่ 1 ด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 83 จากฝีมือการขับของ โรเบิร์ต คูบิกา (Robert Kubica), ฟิลิป แฮนสัน (Philip Hanson) และ เย่ อี้เฟย (Ye Yifei) ตามมาด้วยทีม ‘ปอร์เช่’ ซึ่งครองอันดับที่ 2 ด้วยรถแข่ง Porsche 963 หมายเลข 6 จากการขับของ เควิน เอสเตร (Kévin Estre), ลอเรนส์ แวนธูร์ (Laurens Vanthoor) และ แมตต์ แคมป์เบลล์ (Matt Campbell) ที่ควบคุมสมรรถนะการขับขี่และรับมือกับความกดดันจากการแข่งขันได้ดี โดยทีม ‘เฟอร์รารี่’ คว้าโพเดียมอันดับที่ 3 ไปครองด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 51 จากการขับของ อเลสซานโดร ปิแอร์ กีดี (Alessandro Pier Guidi), เจมส์ คาลาโด (James Calado) และ อันโตนิโอ จิโอวินาซซี (Antonio Giovinazzi) [CENTER][IMG]https://i.postimg.cc/66CjZZ5n/Michelin-at-Le-Mans-24-Hours-2025-10.jpg[/IMG][/CENTER] [B]บทสรุป[/B] [I]"เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าฝ่าฟันไปให้ไกลกว่านั้น"[/I] แมทธิว โบนาร์เดล (Matthieu Bonardel) ผู้อำนวยการของ 'มิชลิน มอเตอร์สปอร์ต' กล่าวทิ้งท้ายอย่างมุ่งมั่น การแข่งขันครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ยางจะให้ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ แต่มิชลินยังคงคิดค้นนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมิชลินตอกย้ำบทบาทในฐานะแบรนด์ผู้บุกเบิกการสัญจรแห่งอนาคต ด้วยการผสานสมรรถนะ นวัตกรรมที่ยั่งยืน และความทุ่มเทของบุคลากร เข้าด้วยกัน[/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Portal
>
News
>
การแข่งรถแบบมาราธอนสุดทรหด 'Le Mans 24 Hours' สนามพิสูจน์สมรรถนะ ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ และนวัตกรรมของยางจาก Michelin
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...