รถมีปัญหา ... ลองมาหาคำตอบแถวนี้ก่อนนะจ๊ะ ^^ updated: 26/04/50

การสนทนาใน 'Daihatsu Club' เริ่มโดย nutmof, 19 ธันวาคม 2005

สถานะหัวข้อ:
ไม่เปิดให้ตอบกลับเพิ่มเติม
< Previous Thread | Next Thread >
  1. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    ความร้อนขึ้น

    อาการ : กำลังจะเลือกซื้อ มิร่า ซักคัน แต่เจ้าของเขาบอกว่าความร้อนขึ้นบ่อย และเป็นปัญหาของมิร่าตลอด(จริงไหมครับ) เพิ่มพัดลมไฟฟ้า, เปลี่ยนหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้นก็เหมือนเดิม
    คำตอบ :
    - ไม่จริงครับ เคยขับจากกรุงเทพยันเชียงใหม่พัก 30 นาทีที่ตาก ก็ไม่เห็นมันจะขึ้น ขับในเมืองรถติดกลางวัน ก็ขึ้นมานิดหน่อยไม่ถึงกับจอดฮีท
    ตอบโดย : MiraSport

    อาการ : พอดี ยกเครื่องออกมาเปลี่ยนเกียร์ แล้วก็โอริงจานจ่าย ทีนี้ เครื่องเร่งไม่ค่อยขึ้นเลยครับตอนวิ่งปลายฯเกียร์ กับตอนลากรอบขึ้นสะดุดมาก เอาไปให้ช่างดูช่างบอกให้ลองเปลี่ยน ฝาครอบจานจ่าย กับสายหัวเทียน ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร เพราะตอนยังไม่ ทำมันยังวิ่งดีอยู่ครับ แต่ตอนนี้วิ่งสักพักเกจความร้อนขึ้นมาเกินครึ่งนิดฯ เมื่อก่อนเปิดแอร์วิ่งยังงัยก็ไม่เกินครึ่งครับ เอ้อ สายแวคคั่ม ก็เดินใหม่ตามรูปในกระทู้เก่าแล้ว ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ฯ รบกวนท่านผู้รู้หน่อยครับ
    คำตอบ :
    - ไม่เกี่ยวกับองศาการจุดระเบิดครับ ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้
    1. หม้อน้ำ
    สภาพเป็นอย่างไร น้ำในหม้อน้ำหายหรือไม่ ถ้าสกปรกมาก มีสีสนิม ให้ล้างทำความสะอาด โดยการเปิด ตัวหางปลาด้านล่าง ของหม้อน้ำ และเปิดฝาหม้อน้ำออก (ข้อควรระวัง อย่าทำในขณะเครื่องยนต์ และหม้อน้ำร้อน อยู่)
    พอน้ำในหม้อน้ำหมด ให้นำสายยางที่ต่อกับก๊อกน้ำ มาใส่ที่หม้อน้ำ เปิดน้ำพอประมาณ เอามืออุดที่รูหางปลาเป็นจังหวะ ให้น้ำพอเต็มหม้อน้ำก็เปิดออก ทำประมาณสองสามครั้งขึ้นอยู่กับความสกปรก เสร็จแล้วให้ปิดหางปลาให้แน่นพอสมควร(ใช้มือหมุนก็พอ) แต่ไม่ใช่ใช้ประแจขันนะครับ เติมน้ำ (ให้ใช้น้ำจากน้ำที่เราดื่ม )ไม่ว่าจะมาจากเครื่องกรองน้ำ น้ำดื่มที่เป็นถัง ๆ ก็ใช้ได้หมด (ห้ามใช้น้ำที่มาจากบ่อใต้ดินทั้งหมด) ประมาณไม่น่าจะเกิด 5 ลิตร ยังไม่ต้องปิดฝาหม้อน้ำ สตาร์ทเครื่องยนต์ ให้เครื่องยนต์เดินเบาไปเรื่อย ๆ มีน้ำล้นออกจากหม้อน้ำไม่ต้องตกใจ พอประมาณ 8 - 10 นาที หรือจะมากกว่าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ว่าเราทำตอนอากาศเย็นหรือตอนอากาศร้อน น้ำในหม้อน้ำจะยุบลงไป(สาเหตุวาล์วเทอร์โมสตัท เปิด)
    ***เป็นการตรวจสอบว่า วาล์วเทอร์โมสตัท ทำงานหรือไม่****
    จากนั้นให้ค่อย ๆ เร่งเครื่องยนต์ โดยการใช้มือดึงสายคันเรงก็ได้ เอาแค่พอเห็นน้ำในหม้อน้ำวิ่งจากขวามือไปซ้ายมือ (หรือซ้ายไปขวา อาจจะกลับกันได้นะครับ ) ก็พอ แสดงว่าปั๊มน้ำทำงานปกติครับ ให้รีบเติมน้ำในขณะนั้นเลย เสร็จแล้วให้รีบปิดฝาหม้อน้ำ ในขณะนั้น เป็นอันเสร็จ
    *** อย่ารีบ ดับเครื่องให้ติดเดินเบาไปเรื่อย ๆ จน พัดลมที่หม้อน้ำทำงาน ขึ้นมาและรอจนพัดลมดับ แสดงว่าระบบระบายความร้อนหม้อน้ำทำงานปกติ ***
    และให้ตรวจสอบว่ามีน้ำหยดหรือไม่ ไปหาพื้นที่ ที่จอดบนที่แห้ง ๆ จะได้รู้ว่ามีน้ำหยดตรงไหนบ้าง ถ้าพบให้แก้ไขครับ (ก็จะมีตรงหางปลากับฝาหม้อน้ำแค่นั้น) วิธีนี้เป็นวิธีการล้างหม้อน้ำ พร้อมไล่ลมและตรวจสอบในระบบระบายความร้อน ทั้งหมด (ถ้าผู้ใด จะเติมน้ำยาในหม้อน้ำ ก็ให้เติมน้ำยาลงไปก่อนการเติมน้ำ นะครับ )และให้ล้างถังพักน้ำด้วยนะครับ
    2. พัดลมหม้อน้ำ
    หมุนในรอบปกติแรง ๆ หรือไม่ มีเสียงดังหรือเปล่า
    - เสริมนิดนึง หางปลาที่ว่า ส่วนมากเป็นพลายสติก 95% ขันออกมาแล้วจะขาด ผมแนะนำให้ซื้อรอไว้ได้เลย
    หรือเปลี่ยนเป็นหางปลาทองเหลืองก็ได้ครับ
    ตอบโดย : trxx, MiraSport
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2006
  2. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    ฝาสูบ

    อาการ : พอจอดรถมีเสียงบุ๋มๆ ก็เลยไปเปิดฝากระโปรงดู เห็นมีฟองอากาศ(เหมือนน้ำเดือด)ที่พักน้ำของหม้อน้ำอะคับ พอลองเอานิ้วจุ่มดูน้ำก็ไม่ร้อนมากเลยเอาไปให้ช่างดู ช่างเค้าบอกว่าน่าจาฝาสูบโก่ง รถผมไม่เคยฮีท ถ้าวิ่งตอนกลางวันร้อน ๆ ความร้อนก็ไม่เกินครึ่ง แล้วทำไมฝาสูบโก่งได้ เลยขอสอบถามผู้รู้หน่อยครับว่าแล้วมันเป็นเพราะอะไรแน่ครับ
    คำตอบ :
    - ลองขันน๊อตฝาสูบให้แน่นก่อนนะครับ ค่าปอนด์ 500 ปอนด์นะครับ
    เนื่องจากว่า ปะเก็นมันเป็นแผ่นหนัง ใช้ไปนาน ๆ มันสึกหรอ มันทรุด ก็จะทำให้เกิดช่องว่างคล้ายฝาสูบโก่ง ให้ลองย้ำค่าปอนด์น๊อตฝาสูบ ให้มันแน่น นาจะหายครับ
    ตอบโดย : MiraSport
     
  3. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    รถสั่น

    อาการ : เวลาวิ่งที่ความเร็วประมาณ 30 - 40 อยู่ที่เกียร์ 3 - 4 รถจะมีอาการสั่นเหมือนเจ้าเข้า มีอาการเหวี่ยงซ้าย - ขวา ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรครับ แล้วแก้ไขได้อย่างไร
    คำตอบ :
    - เป็นที่จานเบรคคด ให้ลองเจียรจานเบรคดูก็จะหาย
    ตอบโดย : eakkarat
     
  4. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    ไฟรถ

    อาการ : พอเปิดไฟหน้าไฟสูง ควันจะขึ้นมาเลยอะคับ เหมือนสวิชต์ตรงคอรถไม่ดีอะคับ พอค้างนานมันเลยทำให้ฟิวส์ของไฟหน้าขาดอะครับ ไปถามช่างบอกต้องเปลี่ยนสวิตตรงคอพวงมาลัยทั้งหมดเลยประมาน 1,200 ขอคำแนะนำหน่อยครับว่าผมควรทำไงดีตอนนี้เอากระดาษยัดไว้อะคับ
    คำตอบ :
    - ผมก็เป็นนะครับ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนสวิชต์ตรงแผงคอนั่นแหละครับ หน้าคอนแท๊กมันสึกไปแล้วอ่ะครับใช้ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คงจามีอาการควันลอยขึ้นมาเหมือนผมอ่ะครับ
    ของผมเปลี่ยนใส่ของ L200 ปัดน้ำฝน3จังหวะอ่ะครับ พร้อมแผงฟิวส์ รู้สึกจะซื้อมา 1,800 นะครับ พอดีลืมไปแล้ว
    ถ้าเป็นของตัวเดิมเราราคาประมาณ 900 เองนะครับ รวมค่าแรงเปลี่ยนก็ 1,100
    - ให้ใส่ชุดลีเลย์ไฟหน้าครับจะช่วยให้ไฟผ่านฟิวส์หรือสวิตช์ที่คอพวงมาลัยลดลงทำให้ฟิวส์ไม่ขาดและสวิตช์ไม่ร้อนด้วยครับ
    ตอบโดย : crazymann, chade_mira
     
  5. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    สายพาน

    อาการ : ตอนนี้เจอปัญหาเสียงรบกวนจากสายพาน มันดังจี๊ดๆ ๆ หนวกหูมาก โดยเฉพาะเวลาสตาร์ทรถใหม่ๆ ยิ่งตอนเช้าๆ น่ะ ดังโคดๆ แต่เสียงมันจะหายไปหรือเบาลง เวลาเครื่องร้อนๆ อ่ะคับ สายพานก้อพึ่งเปลี่ยนมาน่ะ ขอคำแนะนำหน่อยครับ
    คำตอบ :
    - แค่ตั้งสายพานใหม่ก็หายแล้วครับ ถ้าจะตั้งเองให้ดูตรงไดชาร์ทจะมีขาเหล็กตรงขาเหล๊กจะมีน๊อตเบอร์ 12 เอาแหวนข้างเบอร์ 12 คลายแล้วก็หาอะไรดันก็ได้แล้วครับ
    ตอบโดย : MIRADRAG, CRAZY DRAG
     
  6. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    Engine Start

    วิธีทำเอนจิ้น สตาร์ท งบถูกๆ
    โดย : rememberme008

    [​IMG]

    อุปกรณ์

    1. ปุ่มกดที่เป็นสปริงในตัว ร้านอีเลคทรอนิกส์ ขายปุ่มละ 20 บาท สีแล้วแต่ชอบครับ
    2. สายไฟยาวซัก...แล้วแต่คับว่าจะเดินไปไว้ตรงไหน ใช้2เส้นครับถ้าจะไม่ให้งง ซื้อคนละสีก้ได้ครับ
    3. หัวแร้งที่เชื่อมสายไฟ ไว้เชื่อมตรงปุ่ม
    4. กรรไกรหรืออะไรก้ได้ไว้ใช้ปลอกสายไฟ
    5. อะไรก้ได้ที่ไว้เจาะที่ๆจะยึดปุ่มครับ

    วิธีทำ (ดูตามรูปประกอบ)

    1. ดึงปลั๊ก สีเขียว ข้างหลังกุญแจออกมา ปลั๊กในวงกลมอะครับ

    [​IMG]

    2. เมื่อดึงออกมาแล้วจะมีสายไฟดังรูป 6 เส้น ให้ปอกสายไฟที่เตรียมไว้แล้วเสียบเข้าไปยังขั้วของสายไฟที่เส้นที่ชี้ไว้ หรือจะเอาแน่นหนาเลยก็ปลอกสายไฟใหญ่แล้วก้พันสายไฟใส่แล้วเอาเทปพันสายไฟพันเลยก็ได้
    สายที่ต้องเชื่อมสายไฟคือ สายเส้นดำ-เหลืองกับดำ-ขาว 2เส้น

    [​IMG]

    3. ต่อไปก็เชื่อมปุ่ม ผมเชื่อมไม่เนียนอะได้แค่เนี้ย แล้วเชื่อมเสร็จก็เอาเทปพันสายไฟพันรอบที่เชื่อมด้วยนะครับเดี๋ยวมันโดนกัน เวลาเชื่อมให้เชื่อมดี ๆ นะครับระวังหัวแร้งไปโดนพลาสติกที่ปุ่มละลาย เจ๊งเลยนะครับ

    [​IMG]

    4. จากนั้นก็ไปเจาะรูที่ ๆ จะใส่ แล้วก็เดินสายปุ่มที่จะใส่ แล้วก้ใส่เข้าไปในรูที่เจาะไว้

    [​IMG]

    5. ต่อไปถึงเวลาลองครับ บิดกุญแจให้ไฟหน้าปัดติดดังรูป

    [​IMG]

    6. จากนั้น เตรียมตัว นับ 1....2....3..........กดเล้ย

    [​IMG]

    ... ติดป่าวเอ่ย ถ้าไม่ติดก็สายไม่แน่นหรือต่อผิดละครับ มีปัญหาก็โทรมาถามได้นะครับ ถ้าตอบไม่ถูกก็อย่าว่ากันนะพี่ๆ เบอร์โทร 09-0170170 โต๋ ครับ
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2006
  7. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    เรือนไมล์ขาว

    วิธีทำเรือนไมล์ขาว
    โดย : PALM@ARCH

    จริงๆ แล้วคุณปาล์มแกทำไว้ขายอ่ะค่ะ แต่ก็มีแอบแบ่งปันให้สมาชิกในคลับด้วย ถ้าขี้เกียจทำเอง สนใจก็ติดต่อคุณปาล์มนะคะ ... รายละเอียดตามนี้ค่ะ

    ราคายังไม่ได้กำหนดครับ (ต้องดูยอดก่อนอะถ้ามากคงถูกลง ไม่น่าเกิน 100.-) เป็นกระดาษ photo sticker เลยอยากถามมีใครจะเอาไหม จะได้นับจำนวนแล้วสั่งทำไม่งั้นเด่วเหลือครับ
    ปล.ต้องเอาไปตัดแล้วแปะเองน้า แต่ไม่ยาก
    - เรือนไมล์ ถอดได้หมดเลย เข็มก็ถอดได้
    - เกจน้ำมันกับความร้อน ติดยากหน่อยเข็มถอดไม่ได้
    - ไฟเตือนแบตกับเบรค ติดทับได้เลย แต่ต้องแม่นหน่อยน้า
    เอาแผ่นเต็มมาให้ดูครับใครสะดวกโหลดไปทำเองก็ได้นะครับไม่ว่าอะไร อยากให้รถในคลับเราสวยๆกันให้หมดเลย (แต่มันจะยากตรงย่อกับขยายอะ)

    รูปตอนทำเสร็จแล้วค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปที่ใช้ download ไปทำ

    [​IMG]
     
  8. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    องศาการจุดระเบิด

    อาการ : มิร่า ตั้งไฟกี่องศาครับ
    คำตอบ :
    - ในตำราว่าไว้ 5 องศาก่อนศูนย์ตายบน เอามาจาก spec เครื่องครับ
    ตอบโดย : MiraSport
     
  9. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    เพลา

    อาการ : รถผมถ้าวิ่งตรงแล้วกดคันเร่งเลยจะมีเสียงดังคล้ายเพลาหลวม แต่เปลี่ยนเพลาใหม่แล้วไม่หาย เสียงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ตอนเลี้ยวไม่มีเสียง วิ่งเรื่อยๆไม่เป็นไร ไม่ทราบว่าสาเหตุน่าจะเป็นที่ไหนได้บ้าง เสียงมาจากประมาณหน้ารถฝั่งซ้าย (ฝั่งเกียร์)

    คำตอบ :
    - อาจจะเป็นหัวที่หัวเพลาฝั่งติดกับเกียร์ก้อได้ครับ เพราะเพลามีเฟืองอยู่สองด้านด้านล้อกับเกียร์ครับ
    - อาจจะเป็นที่โช๊คครับ ผมก้อดัง ดังเหมือนเพลาขับ แต่เปลี่ยนแล้วก้อยังดัง เลยรื้อมาดู แกนโชคมันคลอนได้เลยดัง พอเปลี่ยนก็หายครับ
    - ลองดูยางแท่นเครื่องดูนะครับ.....ถ้าขาดก็ดังครับ
    ตอบโดย : เต...เต้, ศุภนิมิตร, chade_mira
     
  10. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    ทองขาว

    อาการ : ทองขาวไหม้บ่อยเกิดจากอะไร ครับ เปลี่ยนทั้งคอนเดนเซอร์+ทองขาวใหม่ หรือเกิดจากคอยล์ครับ และถ้าเป็นที่หน้าทองขาวจะเปลี่ยนยากมั้ย เปลี่ยนเองจะได้รึเปล่า แล้วราคาประมาณเท่าไหร่
    คำตอบ :
    - เปลี่ยนจานจ่ายเป็นแม่เหล็ก (cdi) ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องไฟจุดระเบิดอีกครับ
    - เปลี่ยนเองได้ครับ แต่ตั้งยากหน่อยนะ แต่ไม่เกินความสามารถ ราคาทองขาวอยู่ที่ร้อยกว่าๆเกือบสองร้อยครับ ใช้ของโตโยต้าได้ครับ แต่ต้องเอาไปเทียบนะ เพราะเดี๋ยวจะซื้อสลับด้านน่ะ
    ตอบโดย : chade_mira, MIRADRAG
     
  11. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    โบออฟ

    อาการ : ผมหาโบอ๊อปใส่ จะใส่รุ่นไหนดีมีใครเคยใส่บ้างครับ เครื่องบูตร์เดิมๆ เคยใส่แล้วพอคายมันไม่ดังพอปรับแล้วดังขึ้นแต่ดับไปเลย ไม่รู้จะใส่ของอะไรครับ ช่วยแนะนำหน่อย
    คำตอบ :
    - คายดังๆ blitz, supersound , godsila + greddy type r
    ตอบโดย : CRAZY DRAG
     
  12. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    เจาะฝากระโปรงหน้า

    อาการ : การที่เราเจาะกระโปรงหน้าเพื่อระบายความร้อนช่วยได้เยอะหรือเปล่า ถ้าเราทำจะต้องใช้งบเท่าไร
    คำตอบ :
    - ของผมยกฝาTR-xx มาใส่เลยอะครับ หมดไป 2,000.-กว่าๆ (น่าจะดีกว่าไปเจาะนะครับ ทั้งค่าเจาะ กะค่าไฟเบอร์สงสัยแพงกว่า)
    - ช่วยเรื่องการระบายความร้อนได้บ้างครับ แต่ถ้าจะให้ดีใช้วิธีแง้มฝากระโปรงจะดีกว่าครับ
    ตอบโดย : PALM@ARCH, amprec
     
  13. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    รหัส/ข้อมูลเครื่อง/ที่มาในแต่ละรุ่น

    เครื่องจากค่ายDaihatsu

    รหัส ED-10 (MIRA Plus)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ SOHC-6 Valve ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    ระบบเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว
    กระบอกสูบxระยะชัก 66.6x81.0 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 847 ซี.ซี.
    แรงม้าสูงสุด 43 PS ที่ 5,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 6.8 kg-m ที่ 3,200 รอบ/นาที

    รหัส EB-Turbo (MIRA Turbo 4WD Full Time)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    SOHC-6 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    ปริมาตรสุทธิ 547 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.0 : 1
    แรงม้าสูงสุด 64 PS ที่ 7,000 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 7.7 kg-m ที่ 4,000 รอบ/นาที

    รหัส EN-05 Turbo (MIRA VX ECVT)
    แบบ 4 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    SOHC- 8 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    ปริมาตรสุทธิ 547 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.5 : 1
    แรงม้าสูงสุด 61 PS ที่ 6,400 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 7.6 kg-m ที่ 4,400 รอบ/นาที

    รหัส EF-JL (MIRA TR-XX)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    SOHC-6 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    กระบอกสูบxระยะชัก 68.0x60.5 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 659 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.0 : 1
    แรงม้าสูงสุด 64 PS ที่ 7,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 9.4 kg-m ที่ 4,000 รอบ/นาที

    รหัส EF-DET (MIRA GINO TURBO)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-12 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    กระบอกสูบxระยะชัก 68.0x60.5 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 659 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.5 : 1
    แรงม้าสูงสุด 64 PS ที่ 6,400 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 10.9 kg-m ที่ 3,600 รอบ/นาที

    รหัส K6A (CAPPUCCINO, ALTO, CERVO, WAGON R)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-12 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    กระบอกสูบxระยะชัก 68.0x60.54 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 658 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.6 : 1
    แรงม้าสูงสุด 64 PS ที่ 6,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 10.8 kg-m ที่ 3,500 รอบ/นาที

    รหัส F6A (CAPPUCCINO, ALTO, CERVO, WAGON R)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    SOHC-6 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EPI
    กระบอกสูบxระยะชัก 65.0x66.0 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 657 ซี.ซี
    อัตราส่วนการอัด 9.2 : 1
    แรงม้าสูงสุด 60 PS ที่ 6,000 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 8.5 kg-m ที่ 4,000 รอบ/นาที


    รหัส JC-DET (DAIHATSU STORIA)
    แบบ 4 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-16 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    กระบอกสูบxระยะชัก 61.0x61.0 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 713 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.0 : 1
    แรงม้าสูงสุด 120 PS ที่ 7,200 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 13.0 kg-m ที่ 4,800 รอบ/นาที


    รหัส CB50-Turbo (DAIHATSU CHARADE Turbo/TX)
    แบบ 3 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ SOHC-6
    Valve เทอร์โบชาร์จ
    ระบบเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว
    กระบอกสูบxระยะชัก 76.0x73.0 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 993 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.0 : 1
    แรงม้าสูงสุด 80 PS ที่ 5,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 12.0 kg-m ที่ 3,500 รอบ/นาที


    เครื่องจากค่ายอื่น

    รหัส K10A (SUZUKI WAGON R PLUS XT)
    แบบ 4 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-16 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EPI
    กระบอกสูบxระยะชัก 68.0x68.6 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 996 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.4 : 1
    แรงม้าสูงสุด 100 PS ที่ 6,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 12.4 kg-m ที่ 3,000 รอบ/นาที

    รหัส K10A (SUZUKI WAGON R PLUS XT)
    แบบ 4 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-16 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EPI
    กระบอกสูบxระยะชัก 68.0x68.6 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 996 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.4 : 1
    แรงม้าสูงสุด 100 PS ที่ 6,500 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 12.4 kg-m ที่ 3,000 รอบ/นาที


    รหัส 4E-FTE (TOYOTA STARLET GT)
    แบบ 4 สูบแถวเรียงวางขวาง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
    DOHC-16 Valve เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
    ระบบเชื้อเพลิง EFI
    กระบอกสูบxระยะชัก 74.0x77.4 มม.
    ปริมาตรสุทธิ 1,331 ซี.ซี.
    อัตราส่วนการอัด 8.2 : 1
    แรงม้าสูงสุด 135 PS ที่ 6,400 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 16.0 kg-m ที่ 4,800 รอบ/นาที

    ที่มา : Daihatsu Northern Zone , bestzaa1
    (bestzaa1อ้างอิงมาจาก http://www.grandprixgroup.com/gpi/ma...sp?news_id=138)
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2007
  14. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    ประวัติบริษัท Daihatsu

    ที่มา : http://www.chuansin.co.th

    สัญลักษณ์ของไดฮัทสุ เป็นตัวอักษร D สีขาว บรรจุอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีทึบ ไม่มีความหมายจำเพาะเจาะจง เป็นเพียงการนำอักษรตัวแรกของชื่อในภาษาอังกฤษมาใช้เป็นสัญลาษณ์เท่านั้นเอง

    ส่วนชื่อ DAIHATSU มีที่มาคือ DAI เป็นคำอ่านแบบจีนของคำว่า o ในชื่อ OSAKA ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศญี่ปุ่นอันเป็นชื่อเมืองในประเทศญี่ปุ่นอันเป็นที่ตั้งของโรงงาน ส่วน HATSU เป็นสองพยางค์หน้าของคำว่า HATSUDOKI (ฮัทสุโดกิ) ซึ่งแปลว่า “เครื่องยนต์”

    ต้นกำเนิดของไดฮัทสุ คือ HATSUDOKI SEIZO KAISHA หรือ ENGINE MANUFACTURING CO., LTD. ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2450 ในปี 2473 บริษัทนี้ได้ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เป็นรถยนต์ 3 ล้อ จำหน่ายในชื่อ ทสึบาซะ (TSUBASA) ต่อมาจึงผลิตรถกระบะ และรถจีพทหารขับเคลื่อน 4 ล้อ ปี 2494 HASUDOKISEIZO KAISHA เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น DAIHATSU KOGYO KABUSHIKI KAISHA และยังคงผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายเช่นเดิม สองทศวรรษหลังจากนั้นคือในปี 2517 บริษัทนี้ก็เปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็น ไดฮัทสุ มอเตอร์ คัมปะนี (DAIHATSU MOTOR CO.,LTD.)อันเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

    ปัจจุบัน ไดฮัทสุเป็นกิจการในเครือของโตโยต้า แต่ยังคงผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในชื่อของตนเอง ที่ทำการของบริษัทตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า รถยนต์ที่ผลิตออกจำหน่ายมีทั้งรถยนต์นั่ง รถบรรทุก และรถโดยสารขนาดเล็ก

    ชื่อบริษัท: ไดฮัทสุ มอเตอร์ คัมปะนี (DAIHATSU MOTOR CO.,LTD)
    ก่อตั้ง: 1 มีนาคม 2450
    ประธานบริษัท: มร. จิโร ซูกะ (MR.JIRO OSUGA)
    สำนักงานใหญ่: 11, DAIHATSU-CHO,IKEDA- SHI, OSAKA 563 , JAPAN
    โรงงานในญี่ปุ่น: 5 โรงงาน
    โรงงานในต่างประเทศ: เบลเยี่ยม จีน สหรัฐอเมริกา
    เงินทุนจดทะเบียน: 28,044 ล้านเยน (สิงหาคม 2532)
    จำนวนพนักงาน: 11,300 คน
    เว็บไซต์: www.daihatsu.com

    รถรุ่นสำคัญ:
    คอมปันโญ สเตชันแวกอน (2506)
    คอมปันโญ 800 ซีดาน (2506)
    คอมปันโญ สไปเดอร์ (2508)
    เฟลโลว์ 360 (2509)
    คอนซอร์เต เบร์สินา (2512)
    เฟลโลว์ แมกซ์ (2513)
    ชาร์มองต์ ซีดาน (2518)
    ชาเรด (2520)
    คูโอเร (2524)
    ชาเรด ดีเซล/เทอร์โบ (2526)
    ชาเรด ทวินแคม เทอร์โบ (2530)
    แอพพลอส (APPLAUSE)
    ชาเรด (CHARADE)
    ชาเรด โซเชียส (CHARADE SOCIAL)
    มิรา (MIRA)
    ลีซา (LEEZA)
    คูโอเร (CUORE)
     
  15. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    ฝาครอบฟิวส์

    อาการ : ขอภาพฝาครอบฟิวส์ครับ ฝาครอบฟิวส์ผมละลายไปแร้วคับ ใคร่ขอความกรูณาเพื่อนๆพี่ๆถ่ายรูปลงไว้ให้ที่คับ
    คำตอบ :พอดีมีอยู่ครับ
    ตอบโดย : mirax
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2007
  16. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    หัวเทียนเครื่อง EF ,JB

    คำถาม: ไอ้เจ้าเครื่อง EF ของผมมันใช้หัวเทียนอะไรเบอร์อะไรอ่ะคับ
    คำตอบ :เครื่อง EF -660 TURBO .หัวเทียนที่ติดเครื่องมาเป็นแบบ2เขี้ยวครับ
    เบอร์หัวเทียน DENSO ใช้เบอร์ QL22TR-S
    เบอร์หัวเทียน NGK ใช้เบอร์ BCPR7EKD

    เครื่อง JB-660 TURBO หัวเทียนที่ติดเครื่องมาเป็นแบบ2เขี้ยวครับ
    เบอร์หัวเทียน DENSO ใช้เบอร์ K22TNR-S
    เบอร์หัวเทียน NGK ใช้เบอร์ BKUR7EK
    ตอบโดย : amprec

    ถ้าเป็นของ NGK ก็เบอร์ BP6ES ครับ ถ้าเป็นของ BOSCH ก็เบอร์ WD8C
    หรือใช้เป็น แพลทตินั่มก็เบอร์ WR8DP ครับ
    ตอบโดย : mirax
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2007
  17. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า

    อาการ : พอดีไปซื้อกระจกมองข้างปรับไฟฟ้ามาคู่นึง กับสวิตสช์อีกตัว เลยอยากขอความช่วยเหลือหน่อยครับ ใครพอมีวงจรต่อกระจกมองข้างไฟฟ้ามั่ง รบกวนช่วยหน่อยคราบบบ
    คำตอบ :กระจกมองข้างเปนแบบพับได้รึเป่า
    ถ้าเปนแบบพับไม่ได้จะมีสายไฟออกจากกระจกมาข้างละ 3 เส้น
    และที่สวิทช์น่าจะมีสายไฟประมาณ 7 เส้น
    สายไฟ 3 เส้นที่กระจกจะเปน
    1.เส้นปรับบนล่าง
    2.เส้นปรับซ้ายขวา
    3.เส้นรวม(รึเส้นคอมมอน อะไรประมานนี้เรียกไม่ถูก อิอิ)
    สายไฟ 7 เส้นที่สวิทช์ จะมี
    1.ไฟบวก(ON รึ ACC)
    2.สายดิน,กราวด์
    3.เส้นรวม รึ คอมมอน
    4.ปรับบนล่าง กระจกข้างขวา
    5.ปรับซ้ายขวา กระจกข้างขวา
    6.ปรับบนล่าง กระจกข้างซ้าย
    7.ปรับซ้ายขวา กระจกข้างซ้าย
    จากที่เคยต่อมาน่าจะเปนประมานนี้นะคับ ส่วนสีของสายไฟไม่แน่ใจเพราะแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกัน
    ส่วนถ้าเปนแบบที่พับได้ก็จะมีสายไฟเพิ่มขึ้นมาอีกคับ และอ่าจจะต้องมีกล่องคุมสำหรับพับกระจกด้วย
    จากที่เคยต่อมา ไม่ต้องใช้รีเลย์นะ แต่ผ่านฟิวส์ไว้ด้วยเพื่อความปลอดภัย ตัวสวิทช์จะทำหน้าที่กลับวงจร + / - ในการไปสั่งงานมอเตอร์ที่ตัวกระจกอยู่แล้วคับ เพียงแต่ต้องต่อให้ถูกเท่านั้นเอง ถ้าหาเส้นรวมเจอก็จะง่าย อาจจะใช้ มิเตอร์วัดดู อันนี้ก็อธิบายลำบากนะคับ
    ตอบโดย : laynei13

    คำตอบ :สายมันมาสีไม่เหมือนกันหร่อครับ ถ้ามาไม่เหมือนกัน...ก็ต้องประมาณนี้จับเจ้า กระจกมาที่ แบตฯเลย และลองไล่สายดูน่ะครับ คือ เอาเดือยยึดกระจก มาแตะที่ ขั้วลบแบตฯแล้วเอาสาย ที่ออกมาจากตัวกระจก มาแตะดูที่ ขั้วบวก จะมีอยู่สายนึงที่เป็นไฟเลี้ยง ก็คือตัวไฟเดินทางมาและอีก สองสาย ที่ จะเป็นไฟเดินทางกลับ ซึ่งเป็น สายไฟผ่านมอเตอร์บังคับ ขึ้นบนล่าง และซ้ายขวาเมื่อเรารู้แล้วว่าสายไฟเส้นไหน เป็นไฟเลี้ยง และเส้นไหนเป็นเส้นผ่านมอเตอร์บังคับเราก็ไปที่ รีโมท์ (ตัวสวิทย์บังคับกระจก) ลองเช็คสายลักษณะเดียวกันที่ล่ะเส้น โดยพวงให้เขาไปกระจกก็คือเอาNO/ACC เข้าไปที่ขั้วบวก แล้วแตะตำแหน่งสายกับตัวกระจก ให้ครบวงจรที่ล่ะเส้น งงป่าวเนี้ย
    อย่างนี้ โดยปรกติ ตัวสวิทย์ นั้นจะมีสายออกมาอยู่ ไม่ 7 ก็ 8 สาย ที่แตกต่างก็คือ สาย คอมมอน 1 หรือ 2
    สาย คือแยก ซ้าย-ขวา หรือ รวม ในจำนวนนั้น จะมีแน่นอน คือ สายเข้าคอกุญแจ เพื่อเปิดสวิทย์ ให้ใช้งานได้ คือสายนี้ส่วนใหญ่ จะต่อเข้าที่มาค์ร กูญแจอยู่ที่ ACC ลักษณะบิดกูญแจมาเตรียมสต๊าท์ สวิทย์รีโมท บังคับกระจกจึงจะทำงานได้นั้นคือ
    1 สาย (ลักษณะสายจะใหญ่กว่าสายอื่น) เข้าที่คอกูญแจ ตอนลองก็ ไปแตะไว้ที่ ขั้วบวกแบตฯ ตลอดครับ

    สายที่ 2 กราวด์ ของสวิทย์ เข้าที่ขั้วลบ(ไม่แน่ใจว่า เป็นสีดำ หรือ เขียวไม่มีแถบ นั้นคือกราวด์แน่นอนครับ)ตลอดครับ

    สาย 3 คือสายคอมมอน จะเป็นสายที่มีสี เดียวเหมือนกัน คือถ้าไม่ น้ำเงินก็ เขียว ไม่เขียวก็เทา ป่าวไม่แน่ใจว่าใช้ของรุ่นไหน..น่ะครับต่อเข้ากับสายที่ตัวกระจก

    สายที่ 4,5,6,7 สายนั้นจะมีสี และมีแถบ..น่ะ ที่นี้จะง่ายแล้ว เราก็ เอาสายนึงไปไล่กับกระจกแตะที่สายกระจกเส้นไหนก็ได้และกดบุมไล่ดู ว่าพังค์ชั่นไหนที่ทำให้หน้ากระจกขยับ คือถ้าเรา ปรับไปที่ ข้างซ้าย กดรีโมท์ลงล่างและกระจกขยับเราก็ทำสัญลักษณ์ไว้ว่า บังคับข้างซ้าย ล่าง น่ะครับเสร็จแล้ว เราก็ไล่เส้นอื่นในลักษณะเดียวกัน น่ะครับ

    ข้อมูลนี้หากผิดพลาดเรื่อง สีของสายไฟ ประการใดก็ขออภัยมาน่ะที่นี้น่ะครับ แต่ไม่มีช๊อตแน่นอน
    คือเอากราวด์เข้าลบ(สายสีดำ หรือเขียว)... และอย่าเอาสายที่ว่าไปแตะบวก เท่านั้นก็ไล่ได้เลยครับ
    ตอบโดย : mira_rungsit
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2007
  18. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    ไฟหน้า ซี-น่อน

    คำถาม: ไม่ทราบว่าถ้าจะใส่ไฟ ซีนอน ต้องดูอย่างไงบ้างคับ หรือสามารถเปลี่ยนใส่ได้เลยสำหรับรถมิร่าอะ
    คำตอบ :ใส่ได้ครับ ไม่ต้องแปลงอะไรเลย ดูว่ามันเป็นซีน่อนแบบ H4 อย่างเดียวพอ
    ปัญหาของซีน่อนแบบ H4 ธรรมดาก็คือ มันจะไม่มีไฟสูง ปกติแก้กันโดยที่ตัวฐานหลอด
    จะเอาหลอดฮาโลเจนไปใส่ไว้คู่กัน แล้วให้วงจรไฟสูงไปเปิดหลอดฮาโลเจน
    แต่โดยมากแล้วไม่ช่วยอะไรครับ เพราะหลอดที่ใส่เพิ่มมักจะไม่ค่อยสว่างขนาดแทนเป็นไฟสูงได้
    ไม่ก็ฉายออกไปแบบไร้ทิศทาง ของผมพยายามปรับพยายามแก้ตำแหน่งมันแล้วก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร

    คงได้ประโยชน์ตอนแค่ดิ๊ฟไฟสูงในตอนกลางวันแค่นั้น ส่วนกลางคืน
    จริงๆแค่เปิดซีน่อนก็สว่างเกือบจะเพียงพออยู่แล้วในกรุงเทพ คงไม่ต้องใช้ไฟสูงก็ขับได้
    แต่ถ้าออกต่างจังหวัด ทางโล่งๆมืดๆ ก็เป็นปัญหาได้เหมือนกันครับ

    อีกทางเลือกคือ หลอดซีน่อน H4 แบบสไลด์ได้ ราคาจะแพงหน่อย แต่มันสไลด์ตัว
    ให้มันกลายเป็นไฟสูงได้ในตัว อันนี้สว่างชัวร์ๆครับ แต่....
    ในตอนกลางวัน ถ้าจะดิ๊ฟไฟสูง จะเป็นปัญหาที่หลอดซีน่อน สว่างไม่ทันครับ
    เพราะธรรมชาติของหลอดซีน่อน ถ้าปิดไว้นานๆแล้วเพิ่งเปิดใหม่ๆมันจะไม่ค่อยสว่าง
    รอไปซักพักถึงจะสว่างครับ
    ตอบโดย : Emporio

    คำถาม: เเล้วติดมาเท่าไหร่ครับ
    คำตอบ :ชุดเดิมเป็นหลอด 10000K ซื้อมือสองมา 4 พัน
    ถ้ายังจำได้ ตอนไปซื้อโรบาร์ที่บ้านโน วันนั้นไฟดับไปข้างนึง แต่ติดแค่ข้างเดียวก็สว่างกว่าหลอดธรรมดา 1 คู่แล้ว

    ปัจจุบันเป็นหลอด 16000K หลอดคู่ใหม่คู่ละ 3600
    ถ้าทั้งชุด รวมบาลาสด้วยประมาณ 8000 ครับ

    เห็นตอนนี้มีคนเอาของเกาหลีมาขาย ไม่รู้ทนเปล่านะ เห็นขายชุดละ 5500

    ปล. หลอดซีน่อนมีอายุการใช้งานประมาณ 2000 ชม. ถ้าเริ่มเสื่อม สีก็จะเปลี่ยน และไม่สว่าง
    ชุดเก่าที่ผมซื้อมือสองมา ใช้ได้ครึ่งปีก็เสื่อมแล้ว ถ้าจะซื้อมือสอง เช็คเรื่องอายุการใช้งานดีๆด้วย
    โดยทั่วไป 2000 ชม. เฉลี่ยแล้ว 2 ปีก็เสื่อมแล้วครับ เท่าที่เห็นคนที่เค้าใช้กันมานานๆบอกมานะ
    ถ้าชุดนี้ผมเสื่อม ผมก็ไม่ใช้แล้วครับ ไม่ไหวๆ แต่ก็ไม่แน่นะ อีก 2 ปีราคามันอาจจะถูกกว่านี้ก็ได้ อิอิ
    ตอบโดย : Emporio
     
  19. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    SET TURBO & รหัสTURBO

    คำถาม: พี่คร๊าบตอนนี้ผมวางเครื่อง ef ไม่โบ เครื่องคาบูอยู่แล้วผมอยากทราบว่าถ้าผมต้องการติดโบผมต้องทำอย่างไรบ้าง งบอยู่เท่าไหร่ แล้วถ้าจะเลือกเทอร์โบจะเลือกแบบไหนด้วยช่วยกันบอกหน่อยนะคร๊าบบบ เพื่อมิร่าจะได้แรงกับเขาบ้าง
    คำตอบ :ถ้าจะใช้แบบโบเดิมก็ยกชุดเทอโบของเครื่ง efโบ มาได้แลยครับ ปั้มติ๊กด้วย คาร์บูด้วย งบน่าจะ 5000-6000
    แต่ถ้าจะเล่นโบรุ่นอื่นก็แล้วแต่ราคาโบกะค่าแปลงน่ะคับ
    ราคาโดยประมาณคับ ตอนสมัยผมทำนะ ตอนนี้ไม่รู้ราคาขึ้นป่าว
    - ชุดโบ อินเตอ แอร์บ๊อก 2500
    - คาบูโบ 1500
    - ปั๊มติ๊ก 1000
    - สายถัก 500 (สายน้ำมันเลี้ยงแกนเทอโบ)
    - turbo timer (ถ้ามีก็ดีคับ) มีตั้งแต่ หลักร้อยถึงหลักพัน
    - เจาะอ่างน้ำมันเครื่อง 200-300
    ประมาณนี้น่ะคับ
    ตอบโดย : CRAZY DRAG


    คำถาม: การติด turbo รวม ถึง การ ใช้งานภายหลังติดตั้ง ของ เครื่องยนตร์ [ standart ] มี ผลอย่างไรบ้าง และ จิง จิง มัน เหมาะ หรือเปล่า ? รบกวนด้วยคับ [ พอดีไปถามช่างมาเค้าบอกติดในมิร่าไม่ได้และแนะนำให้เปลี่ยน เครื่องแต่ผมไม่เชื่อ ]
    คำตอบ :รถในตระกูลมิร่า...ส่วนใหญ่รุ่นใหม่ๆติดโบมาพร้อมอยู่แล้ว...น่ะครับถ้าถามว่า...จะเซ็ตโบให้กับมิร่า เครื่องคาร์บูนั้นได้ไหม ตอบเลยครับว่าได้ แน่นอนครับในคลับเราก็มีหลายคันที่เป็นเครื่องคาร์บู...แต่เซ็ตโบ น่ะครับเช่น...นายหนุ่ม นายณต นายเบส น้าโน๊ต
    ถามว่ายากมัย ก็ไม่เท่าไร ที่ที่รถผมทำ เห็นช่างเค้าเซ็ตสามวันเอง จบ มันอยู่ที่เราเลือกครับ ตัวเทอร์โบ ที่ใช้ ส่วนตัวผมคิดเองน่ะ ว่า ควรใช้ รหัส RHF 3 ที่ติดมากับเครื่อง EF-twancam12 v(turboเหตุผล เพราะ โข่งหลังจะเล็ก โข่งหน้าจะใหญ่ เพราะโข่งหน้าใหญ่ ให้ได้อากาศที่ปริมาณดี เพราะเครื่องคาร์บู ต้องการอากาศ โฟร์ๆหน่อยเพราะโข่งหลังเล็ก การหวนกับไอเสีย ไม่มาก แต่เป็นการ บีบอัดอากาศเสียไปใช้ใหม่ ในก้อนที่พอเหมาะผมว่าโบ ตัวนี้เหมาะกับมิร่ามาก จากนั้น เรื่องอินเตอร์ ควรใช้ขนาดไม่ต้องใหญ่เลยครับ ให้หาของจำพวก อิเตอร์ของเครื่องเทอร์โบ 3 สูบปรกติก็เหลือเกินแล้วครับจากนั้น ก็ เติม เข้าไปหน่อย โปว์ออฟ อีกสักตัว ตัวปรับบุธมือสักตัว เกต์วัดบุธอุปกรณ์พวกนี้ถามว่าไม่ใส่ได้มัย ได้ครับ แต่มันจะช่วยให้ลูกสูบ กับกานสูบ และใส้ในของเครื่องอยู่กับเรานานๆการเซ๊ต เครื่องคาร์บู ควรระวังเรื่องอากาศ อย่าให้มากเกินไป มันจะอวก และจะวิ่งไม่ออกน่ะครับ
    งบประมาณก็น่าจะอยู่ที่
    โบลูกล่ะ 1500 , อินเตอร์ 1000 , ปรับบุธมือรวมสาย ประมาณ 800 , โปว์ออฟ 2000 , เกต์วัดบุธ 450
    ค่าเดินท่อ ประมาณ 2500 รวมท่อยางข้อต่อสายรัด
    ก็น่าประมาณนี้น่ะ ร่วมค่าแรงด้วย ร่วมๆแล้วมันก็ หมื่นนิดๆน่ะครับ
    อย่างไรก็หาช่างที่เต็มใจทำหน่อยน่ะครับ ไอ้ประเภทงูๆปลาๆ อย่าไปยุ่งครับ
    อะไหล่ต่างๆที่ใช้กับรถมิร่าหาง่ายมากครับ...ตอนนี้ทั้งเครื่องทั้งอะไหล่ เต็มไปหมดของผมที่ทำ ก็อาศัยอะไหล่จาก ท่านประธาน...ฮิฮิ ราคางี้ ป่าหัวให้สะดีกว่า 555 กับเดินหาเอง แล้วก็มานั่งทำ
    ยังไงก็โทรสอบถามได้น่ะครับ ผมบอยครับ....0894498053 ยินดีครับ
    ตอบโดย : mira_rungsit
    คำถาม: เสริมจากพี่บอยครับ จะมีปัญหาเรื่องน้ำมันอ่ะครับ เวลาจูนจะจูนยากครับ เดินเบาได้ บูสมาน้ำมันลงไม่ทัน บูสได้ ก็เดินเบาไม่ได้
    คำตอบ :-ใส ปั๊มติ๊กเสริม แยกสวิทย์ เอาไว้เวลาสัดแล้วกดทำงาน เลยครับ....เหมือนยิงไนตัส....ฮิฮิ
    -เอาเพรชเชอร์สวิทคุมปั๊มติ๊กก็ได้ครับ ง่ายดีด้วย
    ตอบโดย : mira_rungsit , CRAZY DRAG

    คำถาม: อยากรู้ว่าเทอร์โบใน Daihatsu มีรหัสอะไรบ้าง แล้วเทอร์โบเดิมบูสอยู่ที่เท่าไหร่
    คำตอบ :ที่ผมรู้ก็มี
    ihi-rhb31
    ihi-rhf3
    ส่วนที่ผมใช้อยู่ก็ ihi-rhb32
    ที่เหลือรอคนอื่นมาตอบครับ
    ตอบโดย : CRAZY DRAG

    ผมมีอยู่ ครับ IHI-RHB 31 boots 7ปอนต์
    ตอบโดย : rollinbabyoil
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2007
  20. nutmof

    nutmof New Member Member

    100
    2
    0
    วางเครื่องใหม่ / เปลี่ยนเครื่อง

    คำถาม : อยากได้เกียร์ออโต้ ใส่มิร่าจะเปลี่ยนเครื่องเลยดีมั้ยหรือเอาเฉพาะเกียร์ออโต้ถ้าเป็นเครื่องยนต์ใหม่เอาเครื่องอะไรดีครับช่วยแนะนำหน่อย
    คำตอบ : จะเปลี่ยนแค่เกียร์หรือทั้งเครื่องขึ้นอยู่กับปัจจัยแรกเลยครับ มีทุนเท่าไหร่
    ถ้ามีเยอะก็เปลี่ยนทั้งแพเลยดีกว่า คุ้มกว่า แต่ถ้าน้อยหน่อยก็เปลี่ยนแค่เกียร์(แต่ก็ต้องเปลี่ยนแพอยู่ดี)
    เครื่องใหม่ที่จะแนะนำก็มี EF กับ JB ครับ
    ตอบโดย : MIRADRAG

    คำถาม : ช่วยแนะนำเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันด้วยค่ะ อยากวางเครื่องใหม่ ไม่เกิน 1300cc ค่ะ
    คำตอบ :
    - จริงๆแล้วมิร่าวางเครื่องอะไรก็ประหยัดน่ะครับ เพราะพื้นฐานรถน้ำหนักน้อย แต่ถ้าจะเอาให้จบๆไม่จุกจิกก็ควรจะเป็นเครื่องในตระกูลdaihatsuจะดีที่สุด ก็มี EF , JB 2อันนี้ยอดฮิต จะมีแบบ เทอร์โบ และไม่มีเทอร์โบ แต่ความรู้สึกผมว่าเทอร์โบกะไม่เทอร์โบก็กินน้ำมันพอๆกัน หรือเทอร์โบอาจจะกินน้ำมันน้อยกว่าด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ขับแบบหวือหวามากมาย
    - แนะนำ เครื่อง EF กับ JB ครับ เป็นเครื่อง Daihatsu
    EF turbo เครื่อง 659 cc 3สูบ ราคายกแพ..ที่เซียงกง บางนา 22000
    JB turbo เครื่อง 659 cc แระก็มี 1000 cc ด้วย เป็น 4 สูบ ราคา ใกล้ๆ EFอาจจะสูงก่านิดหน่อย ครับ
    2 เครื่องนี้ เฉลี่ย วิ่ง ประมาณ 15-18 กิโล/ลิตร
    ตอบโดย : CRAZY DRAG, rollinbabyoil

    คำถาม : อยากทราบว่ามิร่าวางเครื่องอะไรได้บ้างครับ
    คำตอบ : แนะนำเป็นเครื่องของไดฮัทสุจะดีกว่านะครับ เช่น EB , EF , EJ , JB , JC ฯลฯ
    ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นบาทขึ้นไป (ราคาแบบวางยกแพครับ)
    ตอบโดย : MIRADRAG

    คำถาม : ตอนนี้ผมกำลังมองหาเครื่องใส่มิร่าอยู่ กะว่าจะเอาเป็น EF660 Turbo แต่เห็นว่ามันมีหลายตัว รบกวนช่วยแนะนำหน่อยครับว่าจะเอาตัวไหนดี และราคาประมาณเท่าไหร่เหรอครับ
    คำตอบ :
    - มันจะมีตัว EF-JL กะตัว EF-DET ครับ ตัว EF-JL มันจะเป็นแคมเดี่ยวครับส่วน EF-DET จะเป็นดับเบิ้ลแคมครับ และเป็นไดเร็คคอยด้วย ส่วนตัวผมอยากเล่น EF-DET ครับ(ความเห็นส่วนตัวนะ)
    - EF 660 turbo ราคาเครื่องพร้อมวางแบบยกแพ อยู่ประมาณไม่เกิน 40,000 บาทครับ
    ตอบโดย : CRAZY DRAG, MIRADRAG

    คำถาม : เครื่อง EF กับ JB น่าจะวางตัวไหนมากกว่ากันครับ แล้วราคาเป็นยังไงบ้างครับ
    คำตอบ :
    - ถึง JB จะสูบมากกว่า ใน cc. ที่เท่ากันน่ะครับ 660 cc. แต่ EF จะ มีแรง บิดที่มากกว่า JB อยู่นิดหน่อย
    ผมยกตัวอย่างซัก2 รหัสแล้วกัน
    EF-RL แรงบิดอยู่ที่ 104.96 N*m
    JB-JL แรงบิดอยู่ที่ 100.03 N*m
    ถ้าวางไม่ต้องทุบไรเลยครับ ยกแพเก่าลง เอาของใหม่ใส่ได้เลยครับ
    - ราคาจากที่เซียงกง บางนาน่ะครับ EF -TWINCAM 12V ยกแพ 22000 ส่วน JB - TWINCAM 16V ยกแพ 22000 - 25000 ครับ
    ตอบโดย : rollinbabyoil
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  21. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    รุ่นที่ 1
    L55 SERISE
    9 มิถุนายน 1980 - 20 สิงหาคม 1985

    เริ่มออกสู่ตลาดใน 2 ชื่อรุ่น โดยชื่อมิรา-คูโอเร ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐานสงวนไว้ให้กับมีทั้งรุ่นแฮตช์แบ็ก 3 ประตูอย่างเดียว แต่ในรุ่นที่ใช้ชื่อคูโอเร ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งดีกว่าจะมีทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู มาในสไตล์ทรงกล่อง 1.3 BOX เป็นรุ่นบุกเบิกสู่ยุคใหม่ของไดฮัตสุในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก

    มิติตัวถังยาว 3,195 มิลลิเมตร กว้าง 1,395 มิลลิเมตร สูง 1,375 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,150 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเบาแค่ 535-540 กิโลกรัมเท่านั้น ในรุ่น มิรา-คูโอเร 3 ประตู วางขุมพลังรหัส AB 2 สูบ OHC 547 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว 29 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 4.0 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที แต่ในรุ่นคูโอเร ทั้ง 3 และ 5 ประตู จะวางขุมพลังเดียวกัน แต่เพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 31 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 4.2 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที ทั้งคู่เชื่อมกับเกียร์ธรรมดา4 จังหวะ และส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าอย่างเดียว ทุกรุ่นบังคับเลี้ยวด้วยพวงมาลัยแร็กแอนด์พีเนียน ระบบกันสะเทือนหน้าทุกรุ่นเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังในรุ่นมิรา-คูโอเรเป็นแหนบ แต่ในรุ่นคูโอเรเป็นแบบเซมิเทรลลิง ทุกรุ่นห้ามล้อด้วยดรัมเบรก 4 ล้อ

    การปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1982 ซึ่งนอกจากจะแต่งหน้าทาปากให้ทันสมัยขึ้นแล้ว ไดฮัตสุยังเลือกจะลดความสับสนของลูกค้า ด้วยการตัดชื่อรุ่นมิรา-คูโอเร 3 ประตู ให้เหลือเพียงมิรา ขณะที่รุ่นหรูคูโอเร ยังใช้ชื่อเดิมของตนต่อไป จากนั้นในเดือนกันยายน 1982 รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ รหัสรุ่น L56V ทั้ง TYPE A และF จึงตามออกมา โดยลดกำลังสูงสุดลงเหลือ 30 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดยังเหมือนเดิม และในเดือนถัดมา ตุลาคม 1982 เมื่ออยู่ในช่วงกระแสเทอร์โบกำลังมาแรงในญี่ปุ่น ไดฮัตสุจึงไม่น้อยหน้า เพิ่มรุ่นเทอร์โบออกมาให้มิราตามสมัยนิยม โดยติดตั้งเทอร์โบลงบนขุมพลังเดิม เพื่อรีดกำลังออกมา 41 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.7 กก.-ม.ที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

    ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 2 ในเดือน พฤษภาคม 1983 โดยรุ่นมิร่า เพิ่มรุ่น TYPE-S เพิ่มกำลังเครื่องยนต์บล็อกเดิมให้แรงเท่ากับรุ่นขับ 4 ล้อ (30 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 4.2 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที) พร้อมเพิ่มเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เฉพาะ TYPE-S และ TYPE-C ส่วนคูโอเร เพิ่มรุ่น MGF เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 2 จังหวะให้กับทั้งรุ่น 3 และ 5 ประตู

    กุมภาพันธ์ 1984 เพิ่มรุ่นพื้นฐาน TYPE-A ให้กับมิรา ครบครันทั้งล้ออัลลอย ยางเรเดียล และกระจกมองข้าง จำนวนจำกัด 600 คัน ตามด้วยรุ่นพิเศษ VIVIAN-III จำนวนจำกัด 1,000 คัน และรุ่น VIVIAN-WHITE สีขาว จำกัดจำนวน 1,600 คัน ขณะเดียวกัน เพิ่มรุ่นเทอร์โบ S บนพื้นฐานจากรุ่นเทอร์โบ TYPE-T เด่นด้วยล้ออัลลอย 12 นิ้ว ช่องระบายอากาศด้านหน้าและตกแต่งรอบคันแบบสปอร์ตนิดๆ

    มกราคม 1985 เพิ่มรุ่นพิเศษ ELMY เอาใจคุณผู้หญิงด้วยวิทยุ AM เบาะผ้าแบบเต็มเบาะ เพิ่มสีแดง และสีฟ้าเมทัลลิกเป็นสีพิเศษ จากนั้นรุ่นพิเศษ PARCO-S จึงตามมาสมทบในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคม โดยใช้ชื่อตามดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าชั้นนำ PARCO เด่นด้วยกันชนหน้า-หลัง และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวถัง ล้ออัลลอย พร้อมอุปกรณ์เช่นเดียวกับรุ่น ELMY จำกัดจำนวนผลิต 2,000 คัน และปิดท้ายด้วยรุ่น GATREY เพิ่มดิสก์เบรกคู่หน้า และสีตัวถัง ขาว แดง เหลือง ฟ้ารวม 4 สี พร้อมอุปกรณ์จากรุ่น PARCO-S ทั้งหมด ทำตลาดระหว่าง เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 1985 ด้วยจำนวนจำกัด 4,000 คัน

    ต้องขอขอบคุณ คุณจิมมี่ กองบรรณาธิการนิตยสารไทยไดร์เวอร์ครับ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  22. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    รุ่นที่ 2
    L70 SERISE
    21 สิงหาคม 1985 - 1 มีนาคม 1980

    เปลียนโฉมใหม่หมดทั้งคันเป็นครั้งแรก มาในรูปทรงกล่องแบบ 1.5 BOX เส้นสายเหลี่ยมทั้งคัน ลู่ลมด้วยค่า Cd 0.36 เปลี่ยนระบบเรียกชื่อรุ่นใหม่เพื่อลดความสับสน โดยชื่อมิรา ถูกยกระดับขึ้นมาให้เป็นรุ่นหรู ส่วนคูโอเร ถูกลดระดับลงไปเป็นรุ่นพื้นฐาน ทั้ง 2 รุ่นมีตัวถังให้เลือกครบทั้ง 2 แบบ คือ แฮตช์แบ็ก 3 และ 5 ประตู มีทั้งแบบขับล้อหน้า ขับ 4 ล้อแบบตลอดเวลา และแบบขับ 4 ล้อที่ให้ผู้ขับกดสวิชต์เลือกโหมดการทำงานได้เอง ซึ่งค่อยๆลดบทบาทในตลาดไปในภายหลัง

    มิติตัวถังยาว 3,195 มิลลิเมตร กว้าง 1,395 มิลลิเมตร เพิ่มความสูงอีก 40 มิลลิเมตร เป็น 1,415 มิลลิเมตร และเพิ่มระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 100 มิลลิเมตร มาหยุดที่ 2,250 มิลลิเมตร ขุมพลังมีให้เลือกเริ่มต้น 3 ขนาด บนพื้นฐานรหัส EB 3 สูบ SOHC 547 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 34 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 4.5 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที ส่วนในรุ่นที่ติดตั้งเทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์บนขุมพลังเดิม หรือตระกูล TR-XX ที่ตามออกมาในเดือนตุลาคม หรืออีก 2 เดือนให้หลัง จะแรงขึ้นเป็น 52 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 7.1 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 จังหวะ อัตโนมัติ 2 จังหวะ มีทั้งรุ่นขับล้อหน้าและรุ่นขับ 4 ล้อ ที่มีสวิชต์ POWER SHIFT ซึ่งช่วยเปลี่ยนการทำงานของระบบจาก 4 ล้อ เหลือแค่คู่หน้า หรือกลับไปยังแบบ 4 ล้อใหม่อีกครั้ง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าทุกรุ่นแบบแมคเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลัง รุ่นขับล้อหน้าจะเป็นแบบเซมิเทรลลิง ส่วนรุ่นขับ 4 ล้อจะเป็นแบบ 5 จุดยึด

    การเพิ่มรุ่นย่อยกระตุ้นตลาดครั้งแรกเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 1986 กับรุ่นพิเศษ VIVIAN S จากพื้นฐานของรุ่น B-TYPE เพิ่มกันชนสีเดียวกับตัวถัง กระจกสีชารอบคัน เบาะผ้าแบบเต็ม ออกสู่ตลาดจำนวนจำกัด 2,000 คัน จากนั้นอีก 3 เดือนให้หลัง เมษายน 1986 เพิ่มรุ่นย่อย GRAN ให้กับคูโอเร เลือกได้ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และอัตโนมัติ 2 จังหวะ รวมทั้งรุ่นพิเศษ COTI บนพื้นฐานจากรุ่น A-TYPE จำกัดจำนวนผลิต 2,000 คัน

    ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก สิงหาคม 1986 เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกประเภทกล่องเก็บของต่างๆในห้องโดยสาร รวมทั้งโทนสีและลายผ้าเบาะใหม่ จากนั้นในเดือนสิงหาคม 1987 ปรับปรุงครั้งสำคัญในด้านขุมพลังบนพื้นฐานของรหัส EB โดยรุ่นมาตรฐาน ลดกำลังสูงุดลงมาเหลือ 32 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 4.4 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที ส่วนตระกูลเทอร์โบ หากเป็นรุ่นที่ใช้คาร์บิวเรเตอร์ กำลังสูงสุดจะลดลงเหลือ 50 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 7.0 กก.-ม.ที่4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 จังหวะ รวมทั้งอัตโนมัติ 3 จังหวะ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ใช้หัวฉีด EFI จ่ายเชื้อเพลิงนั้น จะแรงขึ้นเป็น 58 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 7.4 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะได้อย่างเดียว

    รุ่น 3 ประตู เทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ตามออกมาเสริมทัพร่วมกับรุ่นขับ 4 ล้อแบบคนขับเลือกโหมดการทำงานได้เองในเดือนตุลาคม 1987 ขณะที่เวอร์ชันแรงสุดAVANZATO TR-XX EFI คลอดออกมาเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1988 ติดตั้งชุดหัวฉีด EFI กับเครื่องยนต์ EB เวอร์ชันพ่วงเทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ แรงถึงขีดสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 7.7 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที จากนั้นในเดือนถัดมา พฤศจิกายน 1988 เพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ AZB (A to Z BE YOURSELF) มีครบทั้งเครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง Hi-Fi เบาะผ้าแบบเต็ม ฯลฯ รุ่นมิรา AZB จำกัดจำนวนผลิตที่ 4,000 คัน ขณะที่ คูโอเร AZB จำกัดไว้เพียง 1,000 คัน ส่วนรุ่น ขับ 4 ล้อตลอดเวลา มีเพียงแค่ 500 คันเท่านั้น

    ปัญหาที่ไดฮัตสุประสบมาตลอดคือความสับสนของลูกค้าว่าจะซื้อรุ่นใดดีระหว่างมิรา และคูโอเร เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำตลาด และการบริหารสต็อกอะไหล่ รวมทั้งลดต้นทุนการผลิต เมื่อถึงเดือนเมษายน 1989 ชื่อ คูโอเร ก็ถูกปลดลงจากป้ายชื่อรุ่นของเวอร์ชันญี่ปุ่น เพื่อใช้ชื่อมิราร่วมกันเพียงหน่งเดียว ส่วนชื่อคูโอเรสงวนไว้สำหรับรุ่นส่งออก เครื่องยนต์ 846 ซีซี เท่านั้น

    การเพิ่มรุ่นย่อยช่วงปลายอายุตลาดยังมีต่อเนื่อง ทั้งรุ่น PARCO-S ในเดือนสิงหาคม 1988 เพิ่มกระจกไฟฟ้า พวงมาลัยเพาเวอร์ ชุดไฟหน้าฮาโลเจน และมูนรูฟ มีทั้งรุ่นขับล้อหน้า และ 4 ล้อตลอดเวลา ตามด้วยรุ่น TR-XX EFI LIMITED ในเดือนกันยายน 1988 เพิ่มเบาะผ้าแบบเต็ม กระจกสีชา พร้อมระบบกระจกไฟฟ้า และยางขนาด155/70R12 เรเดียล และส่งท้ายด้วยรุ่น PARCO-90 ในเดือนมกราคม 1990 ก่อนที่รุ่นใหม่จะออกสู่ตลาดเพียง 2 เดือน ครบครันด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน รวมทั้งเครื่องเสียงแบบ Hi-Fi และมูนรูฟเฉพาะ 3 ประตูบางรุ่น เลือกกันได้ 9 รุ่นย่อย รวมทั้งรุ่นเทอร์โบ และขับ 4 ล้อตลอดเวลา

    รุ่นที่ 2 นี้คนไทยจะคุ้นเคยที่สุด เพราะนี่คือรุ่นกลับเข้ามาประกอบและจำหน่ายจนสร้างชื่อไดฮัทสุให้กลับมาเกิดใหม่ในเมืองไทยเมื่อสิงหาคม 1991 ทั้งที่ในญี่ปุ่นตกรุ่นไปแล้ว 1 ปีเศษ เข้ามาครั้งแรกในฐานะของรถกระบะขนาดจิ๋ว มิติตัวถังยาว 3,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,395 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,320 มิลลิเมตร วางขุมพลัง ED-10 3 สูบ OHC 6 วาล์ว 847 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 43 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 6.8 กก.-ม.ที่ 3,200 รอบ/นาที ขับล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ระบบกันสะเทือนหน้าแมคเฟอร์สันสตรัตพร้อมเหล็กกันโคลง หลังแหนบพร้อมช็อกอัพ พร้อมออพชันหลังคาไฟเบอร์ด้านหลังให้เลือก ด้วยราคาเปิดตัวต่ำเพียง 185,000 บาท ทำให้ได้รับความนิยมสูงมากจนเป็นอีก 1 ในปรากฎการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์วงการรถยนต์เมืองไทย

    จากนั้นมีการเพิ่มรุ่นพิเศษต่างๆ ทั้งรุ่นหลังคาไฟเบอร์ทรงสูงสำหรับกิจการขนาดเล็ก รวมทั้งรุ่นหลังคาไฟเบอร์ 2 ชิ้นซ้อนสไตล์สเปซแค็บต่อหลังคา บนพื้นฐานวิศวกรรมแบบเดิม รวมทั้งการอัพเกรดเครื่องยนต์มาใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดในช่วงปี 1993 เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียของเมืองไทย แต่ให้กำลังเท่าเดิม ยังคงทำตลาดมาได้เรื่อยๆ แบบไร้คู่แข่ง จนถึงการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุดท้ายในชื่อมิรา MINT เมื่อช่วงปี 1995 ก่อนจะยุติบทบาทการทำตลาดในเมืองไทย เนื่องจากประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ โดยตัวแทนจำหน่ายรายเดิมยังคงให้บริการหลังการขายและการสั่งอะไหล่จากญี่ปุ่นเท่านั้น จนถึงปัจจุบัน

    ต้องขอขอบคุณ คุณจิมมี่ กองบรรณาธิการนิตยสารไทยไดร์เวอร์ครับ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  23. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    รุ่นที่ 3
    L200 SERISE
    2 มีนาคม 1990 - กันยายน 1994

    อัพเดทรูปลักษณ์ภายนอกให้สดใหม่ขึ้น และไม่ล้าสมัยไปกับกาลเวลา ลบเหลี่ยมมุมรอบคันจากรุ่นเดิมไปจนหมด เริ่มเน้นสมรรถนะที่ดุเดือดขึ้น จากการเปลี่ยนข้อกำหนดกฎหมาย ขยายเพดานสูงสุดของขนาดความจุกระบอกสูบในรถยนต์ K-CAR จาก 550 เป็น 660 ซีซี เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั้งในญี่ปุ่นและตลาดโลก จนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีทำตลาดอยู่ในบางประเทศ ทั้งภายใต้แบรนด์ไดฮัทสุเอง และแบรนด์อื่นๆที่มีโครงการความร่วมมือกับไดฮัทสุ

    มิติตัวถังของทั้งรุ่น 3 และ 5 ประตูยาว 3,295 มิลลิเมตร กว้าง 1,395 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,280 มิลลิเมตร ติดตั้งขุมพลังตระกูล EF 3 สูบเรียง 659 ซีซี ทั้ง 4 ความแรง เริ่มจากรุ่นพื้นฐาน EF-CL SOHC 6 วาล์ว 40 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.3 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที พ่วงได้กับเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ และอัตโนมัติ 3 จังหวะ สำหรับรุ่นย่อย A,B และ J Type P ตามด้วย EF-HL SOHC 12 วาล์ว 50 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
    5.3 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที พ่วงได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ ทั้ง 3 และ 4 จังหวะ สำหรับรุ่น J Type Q ,J-4WD Type P & Q,Grand-Limited และPADI หรือแรงขึ้นสู่ระดับ TR-XX กับ EF-XL SOHC 6 วาล์วเพิ่มเทอร์โบชาร์จ 61 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 8.6 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที วางในรุ่น TR-XX กับ TR-XX Limited และแรงชนพิกัดกับ EF-JL SOHC 12 วาล์ว หัวฉีด EFI เทอร์โบชาร์จ 64 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดสำหรับรุ่น TR-4 EFI,TR-XX EFI & EFI Limited โดยทั้ง 2 เครื่องยนต์นี้ พ่วงได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 3 จังหวะ ระบบกันสะเทือนหน้า-แมคเฟอร์สันสตรัตหลัง-เซมิเทรลลิงอาร์ม ในรุ่น FWD และ 5 จุดยึดในแบบ 4WD ระบบเบรกหน้า-ดิสก์หลังตรัม

    การเพิ่มรุ่นย่อยและปรับโฉมต่างๆ เริ่มขึ้นเมื่อ เดือนกันยายน 1990 กับรุ่น 5 ประตู J-TURBO ปรับปรุงระบบกันสะเทือนให้หนึบขึ้นด้วยช็อกอัพและสปริงพิเศษ พวงมาลัยเพาเวอร์ กระจกไฟฟ้า ชุดสปอตไลต์ฉาโลเจนสีเหลือง จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มรุ่น 3 ประตู X4 เทอร์โบ ขับ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อม VISCOUS CUPPLINGแต่เครื่องปรับอากาศและพวงมาลัยเพาเวอร์ต้องสั่งติดตั้งพิเศษ และในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 จึงเพิ่มรุ่น X4-R ที่เปลี่ยนมาใช้เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะอัตราทดชิด CLOSE RATIO

    20 พฤษภาคม 1991 เวอร์ชันแรงสุด TR-XX EFI AVANZATO ตามเข้ามาประจำการ ต่อด้วยการเพิ่มรุ่นย่อย Pit , Pit EXTRA และ 4WD-Pit เมื่อ 22 สิงหาคม 1991 จากนั้น 5 กันยายน 1991 เพิ่มรุ่นย่อย TR-XX EFI 4WS เค-คาร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ใช้ระบบเลี้ยว 4 ล้อ รวมทั้งรุ่น TR-XX AVANZATO-R ตกแต่งเฉี่ยวรอบคัน เพิ่มเฟืองท้าย LSD ที่เพลาคู่หน้า และ ASB (ANTI SPIN BREAK หรือเอบีเอส) สวมยาง BRIGDESTONE POTENZA RE71 155/50R13

    20 พฤศจิกายน 1991 ปรับโฉมด้วยการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆเล็กน้อยให้กับทุกรุ่นย่อยในตระกูล J-SERISE จากนั้นเว้นว่างไปถึง 21 เมษายน 1992 เพิ่มขุมพลังใหม่รหัส EF-EL 3 สูบ OHC 12 วาล์ว 659 ซีซี 55 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.8 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที พ่วงกับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ วางในรุ่น J-Q และรุ่น J-Qi ทั้ง 3 และ 5 ประตู

    27 สิงหาคม 1992 ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ ทั้งแบบ 3 ประตู Si , Si CANVAS-TOP, 5 ประตู GRAN 2WD/4WD ทุกรุ่นทั้งหมดนี้ ใช้ขุมพลังรหัส EF-EL 55 แรงม้า (PS) ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเพิ่มรหัส EF-KL 3 สูบ OHC 659 ซีซี 42 แรงม้า (PS) 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.4 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที ให้กับรุ่น J TYPE-S 3 ประตู ที่มาพร้อมกับชุดเคร่องเสียง HiFi และถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ ส่วนตระกูล เทอร์โบ TR-XX เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ TR-XX AVANZATO 4WS รวมทั้งเพิ่มถุงลมนิรภัยฝั่งคขับ เอบีเอส ไฟบอกตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติบนหน้าปัดให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบางรุ่น และที่สำคัญคือ เพิ่มรุ่นพิเศษ เทอร์โบ-RV4 นำรุ่น 3 ประตู เทอร์โบมายกพื้นตัวถังจนสูงขึ้นเป็น 1,550 มิลลิเมตร ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา เข้ากับขุมพลัง EF-JL เดิม 64 แรงม้า (PS) เสริมหล่อด้วยกันชนหน้าพร้อมการ์ดกันกระแทก ล้ออัลลอย และแร็กหลังคา พร้อมซันรูฟขนาดใหญ่เต็มหลังคาจากโรงงาน

    ปิดท้ายด้วยรุ่นย่อยใหม่ MODERNO เมื่อ 27 มกราคม 1993 ปรับโฉมด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับชุดกันชนหน้าใหม่และย้ายตำแหน่งชุดป้ายทะเบียนหลังจากกันชนขึ้นมาไว้บนฝาประตูห้องเก็บของ อีกทั้งยังเปลี่ยนลายไฟท้ายใหม่สดใหม่ขึ้นอีกด้วย วางขุมพลังทั้งรหัส EF-EL และ EF-KL ตัวเลขสมรรถนะไม่เปลี่ยนแปลง

    นอกจากนี้ ในมาเลเซีย ไดฮัทสุกับบริษัทรถยนต์ PERODUA ทำข้อตกลงร่วมกันโดยทางเพอโรดัวร์ นำมิร่า 5 ประตู ไปขึ้นสายการผลิตและทำตลาดเองภายใต้ชื่อ เพอโรดัวร์ KANCIL และ เพอโรดัวร์ NIPPA วางเครื่องยนต์ทั้งขนาด 659 และ 847 ซีซี มาตั้งแต่เดือนเมษายน 1994

    ต้องขอขอบคุณ คุณจิมมี่ กองบรรณาธิการนิตยสารไทยไดร์เวอร์ครับ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  24. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    รุ่นที่ 4
    L500 SERISE
    กันยายน 1994 - 5 ตุลาคม 1998

    เปิดตัวในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงในญี่ปุ่น รวมทั้งกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อตลาด K-CAR เริ่มเปลี่ยนไปหารถยนต์ทรง TALL-BOY ที่มีมิตซูบิชิ มินิกา ท็อปโปเริ่มจุดกระแส ตามด้วยความรุนแรงเป็นประวัติการณ์ของยอดขายจาก ซูซูกิ แวกอน-อาร์ ทำให้ไดฮัทสุเองต้องหันไปเน้นทำตลาดกับรุ่นมูฟแทน แต่ยังคงความแรงในตระกูล TR-XX ไว้สำหรับคนที่อยากสนุกบนถนน และเป็นรุ่นแรกที่เริ่มมีถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ รวมทั้งเอบีเอส มาให้เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งในบางรุ่น

    มิติตัวถังยาว 3,295 มิลลิเมตร กว้าง 1,395 มิลลิเมตร สูง 1,440 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,300 มิลลิเมตร วางขุมพลังหลายแบบตั้งแต่รหัส EF-FL 3 สูบ OHC 659 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 40 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.3 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที พ่วงเฉพาะเกียร์ธรรมดา 4จังหวะ สำหรับรุ่นแวนส่งของ ส่วนรุ่นมาตรฐานมีทั้งรหัส EF-KL 3 สูบ OHC 659 ซีซี 42 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.4 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ตามด้วย EF-EL 3 สูบOHC 12 วาล์ว 659 ซีซี 55 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.8 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาทีทั้งคู่พ่วงได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 3 จังหวะ และแรงสุดกับ JB-EL 4 สูบ DOHC 659 ซีซี 58 แรงม้า (PS) ที่ 7,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.8 กก.-ม.ที่ 5,600 รอบ/นาที พ่วงได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและอัตโนมัติ 4 จังหวะ ส่วนตระกูล เทอร์โบ TR-XX มี 2 ขุมพลังหลักทั้งรหัส EF-JL 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 659 ซีซี พ่วงเทอร์โบ 64 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.4 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที และรหัส JB-JL 4 สูบ DOHC 659 ซีซี พ่วงเทอร์โบแรงม้าเท่าเดิม แต่เพิมแรงบิดให้สูงขึ้นเป็น 10.2 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ทั้งคู่พ่วงได้เฉพาะเกียร์ธรรมดา5 จังหวะเท่านั้น

    จากนั้นถึงคิวของการเพิ่มรุ่นย่อยและปรับโฉมต่างๆ เริ่มที่ 15 พฤศจิกายน 1994 DRS (DAIHATSU RACING SERVICE) หน่วยงานพิเศษรับออกแบบและโมดิฟายรถยนต์ให้กับลูกค้า ออกรุ่นพิเศษ TR-XX AVANZATO X4 DRS RALLY บนพื้นฐานขุมพลัง JB-JL ปรับปรุงระบบกันสะเทือนและชุดแอโรพาร์ตรอบคัน เตรียมพร้อมออกแข่งขันได้ทันที จากนั้นเว้นว่างจนถึง 17 ตุลาคม 1995 เพิ่มเครื่องยนต์ใหม่รหัส EF-ZL 3 สูบ OHC 659 ซีซี 55 แรงม้า (PS) ให้กับรุ่น TR และ CR ส่วนตระกูล TR-XX เพิ่มเครื่องยนต์รหัส EF-RL 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 659 ซีซี พ่วงอินเตอร์คูลเลอร์เทอร์โบ64 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.7 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที รวมทั้งเพิ่มอุปกรณ์พื้นฐานจำพวกกระจกไฟฟ้ากรองแสง วิทยุเทป ฯลฯให้กับรุ่นย่อยต่างๆบางรุ่น

    2 เดือนให้หลัง 6 ธันวาคม 1995 เพิ่มรุ่น TR-XX AVANZATO G วางเดรื่องยนต์รหัส EF-RL 64 แรงม้า (PS) เว้นว่างจนถึง 12 เมษายน 1996 DRS (DAIHATSU RACING SERVICE) ก็เพิ่มรุ่นพิเศษ TR-XX AVANZATO X2 DRS RALLY สำหรับคนที่ไม่อยากได้รุ่น X4 ขับ 4 ล้อ และเว้นช่วงมาถึง 24 ธันวาคม 1996 เพิ่มรุ่น MODERNO PARCO-S จากนั้นจึงอัพเกรดอุปกรณ์ตกแต่งภายบนอกให้กับตระกูล MODERNO ด้วยสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกหลัง ชุดไฟหน้ามัลติรีเฟ็กเตอร์ มาตรวัดความเร็วพื้นสีขาว ฯลฯ เมื่อ 28 พฤษภาคม 1997

    ห่างออกไปอีก 3 เดือน 26 สิงหาคม 1997 เพิ่มรุ่นมิรา คลาสสิก ตกแต่งในสไตล์ RETRO ย้อนยุคด้วยไฟหน้าทรงกลม กระจังหน้าและกันชนรวมทั้งคิ้วขอบต่างๆรอบคันเป็นโครเมียมตามติดด้วยมิราHELLO-KITTY ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ของเจ้าแมวน้อย HELLO KITTY ตัวการ์ตูนดังจากค่ายSANRIO รอบคัน พร้อมเครื่องเล่น MD และระบบ KEYLESS ENTRY เมื่อ 2 ธันวาคม 1997 และส่งท้ายกับรุ่น PARCO CLASSIC เพิ่มวิทยุเทปพร้อมเครื่องเล่น CD 2 DIN เปลี่ยนลายผ้าเบาะและวัสดุตกแต่งบางส่วนเมื่อ 24 ธันวาคม 1997

    ต้องขอขอบคุณ คุณจิมมี่ กองบรรณาธิการนิตยสารไทยไดร์เวอร์ครับ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  25. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    รุ่นที่ 5
    L700 SERISE
    6 ตุลาคม 1998 - 20 ธันวาคม 2002

    เป็นรุ่นที่ทำตลาดได้ไม่หวือหวา เพราะมีการเพิ่มรุ่นหรือปรับปรุงสายพันธ์น้อยมาก แถมยังลดบทบาทของรหัสร้อน AVANZATO ออกจากสายการผลิตอีกด้วย เนื่องจากแนวโน้มความต้องการของลูกค้า หันไปแสวงหาความแรงและความสะดวกสบายจาก K-CAR ทรง TALL-BOY มากกว่า ทำให้ไดฮัทสุต้องมุ่งเน้นทำตลาดเอาใจลูกค้าสุภาพสตรีและลูกค้าประเภทองค์กรขนาดใหญ่ ซื้อคราวละหลายคัน (FLEET) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักดั้งเดิมของมิรา เพิ่มขึ้นเป็นการทดแทน ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยใหม่จากโครงสร้างนิรภัย TAF (TOTAL ADVANCED FUNCTION) ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและเอบีเอสเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่นแวนส่งของบางรุ่น) และขุมพลังตระกูลใหม่ TOPAZ

    เปิดตัวด้วยรูปทรงเชยๆ ด้วยความจงใจให้มีเส้นสายคล้ายกับออสติน/โรเวอร์ มินิ รุ่นแรกอยู่บ้าง มิติตัวถังยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตรระยะฐานล้อ 2,360 มิลลิเมตร (เท่าๆกับโตโยต้า โซลูน่ารุ่นแรก) วางขุมพลังให้เลือก 4 แบบ บนพื้นฐานบล็อก 3 สูบ 659 ซีซี พร้อมหัวฉีด EFI เริ่มจาก EF-SE OHC 6 วาล์ว 45 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 5.6 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ตมด้วย EF-VE DOHC 12 วาล์ว มี 2 เวอร์ชัน ทั้งแบบ 52 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 6.3 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที และเวอร์ชัน 58 แรงม้า (PS) ที่ 7,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 6.5 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงสุดกับEF-DET DOHC 12 วาล์ว พ่วงเทอร์โบ 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.9 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที พ่วงได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 จังหวะอัตโนมัติ 3 และ 4 จังหวะ ตามแต่ละรุ่น ระบบกันสะเทือนหน้า แมคเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลัง รุ่นขับล้อหน้าเป็นแบบทอร์ชันบีม เทรลลิงอาร์ม ส่วนรุ่นขับ 4 ล้อเป็นแบบ 3 จุดยึด ระบบเบรก มีทั้งแบบหน้าดิสก์-หลัง-ดรัมและดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมเอบีเอส และระบบกระจายแรงเบรก EBD ในบางรุ่น

    ส่วนตระกูลใหม่ มิรา GINO ตกแต่งในสไตล์ RETRO ย้อนยุค บนพื้นฐานของรุ่น 5 ประตู ตามมาประจำการเมื่อ 1 มีนาคม 1999 วาง 2 ขุมพลัง ทั้ง EF-VE 3 สูบ 659 ซีซี 58 แรงม้า (PS) ที่ 7,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 6.5 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที และ EF-DET 3 สูบ 659 ซีซี พ่วงเทอร์โบ 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.9 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ทั้งคู่พ่วงได้ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อตลอดเวลา

    การปรับปรุงและเพิ่มรุ่นย่อยต่างๆ เริ่มจาก 6 พฤษภาคม 1999 เพิ่มระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน eco-CVT มาเป็นทางเลือกในรุ่น TX และ TV ทั้งรุ่นขับล้อหน้าและขับ 4 ล้อ จากนั้น 30 พฤศจิกายน 1999 อัพเดทอุปกรณ์ปลีกย่อยให้กับทุกรุ่น และเพิ่มระบบควบคุมการทรงตัว DVS (DAIHATSU VEHICLE STABILITY CONTROL SYSTEM) มาให้เป็นออพชันพิเศษ ตามด้วย 13 ธันวาคม 1999 เพิ่มรุ่น มิรา CNG วางเครื่องยนต์ EF 3 สูบ DOHC 659 ซีซี 50 แรงม้า (PS) ที่ 7,200 รอบ/นาที 5.8 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที เชื่อมได้เฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ มีทั้งแบบขับล้อหน้า และขับ 4 ล้อตลอดเวลา และเพิ่มรุ่นย่อย GINO S-EDITION เมื่อ 31 พฤษภาคม 2000

    ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่เมื่อ 4 ตุลาคม 2000 อัพเดทชุดไฟหน้า-ไฟท้าย กระจังหน้า กันชนหน้า รวมทั้งเพิ่มอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยอย่างวัสดุบุเสาหลังคา SOFI (SAFETY-ORIENTED FRIENDLY INTERIOR) รวมทั้งเกียร์อัตโนมัติ ESAT (ECONOMIC & SMOOTH AUTOMATIC TRANSMISSION) จากนั้นเว้นว่างไปถึง 17 พฤษภาคม 2001 เพิ่มรุ่นพิเศษ MEMORIAL EDITION ให้กับรุ่น GINO และรุ่นย่อยมาตรฐาน PiCO พร้อมชุดเครื่องเสียง CD/MD ตามด้วย การเพิ่มเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบลดแรงปะทะและดึงกลับอัตโนมัติในบางรุ่น รวมทั้งเพิ่มรุ่นพิเศษGINO MINILIGHT SPACIAL TURBO และรุ่นตกแต่งพิเศษตามตัวการ์ตูน Licca with Happy pappy ในโอกาสที่ขุมพลังตระกูล TOPAZ ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับดีเยี่ยมจากรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อ 3 ตุลาคม 2001

    จากนั้น 5 ธันวาคม 2001 เอาใจคุณสุภาพสตรีด้วยมิร่า GINO HELLO-KITTY VERSION ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ของเจ้าแมวน้อย HELLO KITTY ตัวการ์ตูนดังจากค่าย SANRIO รอบคัน พร้อมระบบ KEYLESS ENTRY และปิดท้ายด้วย มิร่า GINO 1,000 ซีซี ยกระดับจากกลุ่มตลาด K-CAR สู่มาตรฐานของรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์ ด้วยขุมพลัง EJ-VE 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.6 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที เมื่อ 23 สิงหาคม 2002

    ต้องขอขอบคุณ คุณจิมมี่ กองบรรณาธิการนิตยสารไทยไดร์เวอร์ครับ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  26. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    มิรา(เกียร์ธรรมดา)อีกมุมนึงของซิตี้คาร์

    ...ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณท่านสมาชิกสุภาพสตรี(มั๊ง)ท่านนึงที่แนะนำหัวข้อนี้มาทางเมล์ ส่วนท่านที่จะแนะนำเรื่องที่อยากให้ผมเขียนถึงผมได้เปิดกระทู้ไว้ที่C470418001ในชมรมคนรักรถนะครับ..และขออนุญาติประชาสัมพันธ์อีกครั้งนะครับว่าในหน้าบทความนี้โอกาสที่ผมจะเข้ามามีน้อยมากครับ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่บทความและกระทู้ยังไม่มากเลยแวะมาตอบในนี้บ่อยๆ แต่ระยะหลังๆมานี่กระทู้ในชมรมคนรักรถค่อนข้างหนาตาโอกาสที่จะแวะมาตอบในนี้จึงแทบจะไม่มีเลย ดังนั้นถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากคุยกับผมและท่านสมาชิกท่านอื่นๆก็แวะไปที่ชมรมคนรักรถดีกว่านะครับ ก็ขอแจ้งไว้ตรงนี้เลยจะได้ไม่คาใจหรือค้างคำถามที่ไม่ได้ตอบไว้ในนี้นะครับ.

    ไดฮัทสุมิรานั้นที่มีประวัติอันยาวนานมากเพราะถือกำเนิดมาตั้งแต่ราวกลางปี1960แล้วเพียงแต่เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆกว่าบ้านเราจะรู้จักมันก็ราวปี๑๙๙๑แล้ว ที่ขึ้นชื่อก็ในเรื่องความคล่องตัว-ประหยัดน้ำมัน-เรี่ยวแรงดีเกินตัว-ความทนทาน-ดูแลง่าย-ไม่จุกจิก ถ้าย้อนไปตอนเป็นรถใหม่นั้นราคาที่เร้าใจราว20หมื่นบวกลบสองจัดว่าน่าสนใจมากๆเลยทีเดียว แต่เพราะปัญหาภายในบางอย่างทำให้มันหายไปจากตลาดทั้งที่ยอดขายก็ถือว่าดีมากทีเดียวรถราคาถูกโดนใจผู้บริโภคมักประสบปัญหาเสมอ..ไม่เข้าใจเหมือนกัน..
    ..ท่านที่วางแผนจะซื้อรุ่นนี้ส่วนมากจะเป็นสุภาพสตรีเพราะดูเหมือนว่ามันจะขับง่าย-หาที่จอดง่าย-ความคล่องตัวสูง ที่สำคัญคือราคามันไม่แพงโดยทั่วไปเก่าสุดราวปี91 ราคาก็มีเริ่มต้นตั้งแต่ 5หมื่นนิดๆ มาจนถึงราวปี 97ราคามันก็แค่ 10หมื่นหน่อยๆเท่านั้นมีให้เลือกทั้งสองประตูทั้งกระบะและแบบดัดแปลงเก๋ง และห้าประตูแบบเก๋ง แต่ตัวหลังปี97มาจนถึงราวปี2000นั้นดูราคาจะยังสูงเกิน 10หมื่นกลางๆไปความน่าสนใจจึงลดลงไปเยอะทีเดียว.
    ข้อมูลเกี่ยวกับรถ
    ขนาดรถ กว้าง 1.395 เมตร, ยาว 3.300-3.350 เมตร(แบบกระบะยาวกว่า), สูง 1.400 เมตร, หนัก 570-590 กิโลกรัม(ห้าประตูหนักกว่า)
    เครื่องยนต์ รหัส ED-10 แบบSOHC 3สูบ แถวเรียง 6วาล์ว สายพานขับ ระบายความร้อนด้วยน้ำ 847ซีซี 43แรงม้าที่ 5500รอบ แรงบิดสูงสุด 6.8 กก-ม.ที่ 3200รอบ , ความเร็วสูงสุด 138 กม/ชม., อัตราเร่ง 0-100 ราว 15 15.5 วินาที
    กระบอกสูบ ขนาดความกว้าง 66.6 ม.ม , ระยะชัก 81.0 ม.ม , กำลังอัด 9.5 : 1
    ระยะปรับตั้งวาล์ว ไอดี 0.25ม.ม, ไอเสีย 0.30 ม.ม
    อัตราทด เกียร์1-5 3.500-2.111-1.392-0.971-0.794 เกียร์ถอยหลัง 3.538 เฟืองท้าย 3.954
    ระบบจ่ายเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว
    อัตราบริโภค ในเมือง 12 16 กม/ล. นอกเมือง18 28.5 กม/ล.
    ระบบกันสะเทือน หน้า(กระบะ) อิสระ-สตรัท-เหล็กกันโครง (เก๋ง)สตัท-คานปีกนก, หลัง(กระบะ)แหนบ-ช็อค (เก๋ง) คอยด์สปริง-คานอิสระ
    ระบบเบรก หน้าดิสก์-หลังดรัม แบบ 2 วงจร เบรกมือระบบกลไกล็อคล้อหลัง
    ระบบบังคับเลี้ยว แร็คแอนด์พีเนียน รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.7 เมตร
    ขนาดยาง 145-70 R12 กระทะล้อ 4 ฝ-12นิ้ว
    ถังน้ำมันเชื้อเพลิง จุ 28 ลิตร
    ระบบคลัทช์ จานแห้งแผ่นเดียวประกบสปริงแบบฟันหวี ทำงานด้วยกลไก
    รอบเดินเบา 700-800 รอบ
    ข้อดี
    1. ที่เด่นๆเลยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอัตราบริโภคที่ต่ำแทบจะไม่ต่างจากแมงกะไซค์เลย
    2. ดูแลง่ายไม่จุกจิก มันถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่สมบุกสมบันดีมากทีเดียวโดยเฉพาะส่วนของเครื่องยนต์ที่เห็นชัดคือก้านสูบนั้นมีขนาดใหญ่มากชนิดที่ว่าเครื่องที่โตกว่าอาจจะอายม้วนไปเลยทีเดียวหรือแม้แต่ข้อเหวี่ยงก็ขนาดไม่ด้อยไปกว่าเครื่องขนาด1300ซีซีเลย
    3. ซ่อมง่ายและหาช่างซ่อมได้ไม่ยากเพราะมันไม่ได้ต่างไปจากแมงกะไซค์เท่าไหร่เลยบางทีออกต่างจังหวัดหาอู่ซ่อมรถยนต์ไม่ได้จะแวะไปคุยกับร้านซ่อมแมงกะไซค์ก็พอจะช่วยเหลือกันได้ครับ
    4. อะไหล่มือสองมีค่อนข้างมากและจัดว่าหาไม่ยากเลยเพราะพื้นฐานเดิมๆนั้นมันมีมาตั้งแต่ยุค60มาแล้ว ถ้าคนมีอายุซักนิดก็คงจะคุ้นเคยมาตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นFELLOWอยู่ หรือสามารถใช้อะไหล่ของเครื่อง660ซีซี ของมิราตัวนอกมาทนแทนกันได้(บางครั้งก็ซื้อเปลี่ยนทั้งเครื่องเลย)เพราะเครื่องทั้งสองตัวต่างกันที่ระยะชักของลูกสูบหรือความยาวก้านสูบและขนาดของข้อเหวี่ยงเท่านั้น แต่เครื่อง660ซีซีจากนอกนั้นสภาพจะดีกว่าเครื่อง 847ซีซีมือสองครับ
    5. อุปกรณ์ตกแต่งหาได้ไม่ยากนักเพราะนิยมแต่งกันมากทีเดียว
    ข้อไม่ค่อยดีนัก
    1. เนื่องจากมันเป็นรถเล็กจึงเหมาะกับการใช้งานในเมืองหรือนอกเมืองแบบไปเรื่อยๆซักไม่เกิน 80-90มากกว่า ถ้านำมันไปใช้งานหนักวิ่งยาวๆความเร็วสูงการสึกหรอจะมีมากและรถโทรมเร็ว
    2. แม้ว่าอะไหล่มือสองจะมีมากแต่บางครั้งการซื้อจำต้องซื้อแบบยกเซ็ท(เพราะเขาอ้างว่าที่เหลือไม่รู้จะไปขายให้ใคร)ก็เลยดูเหมือนว่าราคาโดยรวมจะค่อนข้างแพง ส่วนอะไหล่ใหม่ๆนั้นราคาเอาเรื่องทีเดียวแถมเจอประเภทรีบิวซะมากกว่า ส่วนมากถ้าเสียมาจึงซื้อเครื่องยนต์ทั้งตัวมาเปลี่ยนเลย แต่ที่มีปัญหามากจะจะเป็นอุปกรณ์ภายนอกที่ต้องดัดแปลงตัดต่อกันถ้าประสบปัญหาการชน(หนัก)หรือพวกช่วงล่างนั้นต้องเป็นประเภทเจอช่างที่มีหัวดัดแปลงจะไปได้สวยไใางั้นต้องซื้อะไหล่มือสองแบบยกชุดมาถอดรื้อกันอีกทีดูแล้วอาจจะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว
    3. เครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กและกำลังไม่มากจึงมักเกิดปัญหากับระบบแอร์ที่ดึงกำลังเครื่องไปช่วงแอร์ทำงานซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิคของเครื่องขนาดเล็กทั่วไปโดยเฉพาะช่วงรอบเดินเบาซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการจ่ายไฟของรถที่ไฟจะตกไป ผลที่ตามมาคือพัดลมจะหมุนช้าลง การระบายความร้อนของพัดลมจึงด้อยลงไป สุดท้ายจึงเกิดปัญหาด้านความร้อนสูง-แอร์ไม่เย็น แต่การแก้ไขก็ไม่ยากนักแค่เปลี่ยนขนาดหม้อน้ำให้โตขึ้นหรือยาวขึ้น เพิ่มขนาดไดชาร์จและแบตให้จ่ายไฟได้มากขึ้น รวมไปถึงถ้าทำได้ก็ควรแยกแผงแอร์ออกจากหม้อน้ำแล้วต่อพัดลมที่แผงแอร์โดดๆปัญหาดังกล่าวก็จะหมดไป
    4. ความทนทานของเครื่องยนต์ที่หลายๆท่านมองข้ามการดูแลรักษามันไปโดยเฉพาะการปรับตั้งวาล์ว ทั้งที่เพลาราวลิ้นเดี่ยวของมันที่หมุนยกกระเดื่องวาล์วที่เป็นอลูมินั่มแยกเป็นสองด้านเพื่อกดวาล์วไอดีและไอเสียนั้นสามารถปรับตั้งระยะห่างที่ตัวนัทซึ่งทำได้ไม่ยากเลยแต่ส่วนมากจะลืมข้อนี้ไปสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวเครื่องก็วิ่งไม่ออกเดินไม่เรียบและทานจุแล้ว
    5. ร่องน้ำมันเครื่องเพื่อหล่อลื่นมุมราวลิ้นนั้นค่อนข้างมีขนาดเล็กและจำกัดเนื่องจากขนาดของอุปกรณ์เองและการใส่เพลาราวลิ้นที่เป็นแบบสอดเข้าไปในร่องแบบประกับยึดตาย ถ้าเกิดการอุดตันจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ดังนั้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากแต่ก็มีหลายท่านที่ขาดการเอาใจใส่ดูแลตรงนี้จนเกิดปัญหาการสึกหรอของระบบหล่อลื่นและชิ้นส่วนชนิดเกินเยียวยาแล้วก็มักจะโทษว่ารถไม่ดีไม่ทนไปโน่นแหละ..อุอุ..อันนี้ได้ยินเต็มสองรูหูเลย
    6. เนื่องจากมิราเป็นรถราคาประหยัดวัสดุที่ใช้ติดรถมาจึงคุณภาพส่วนใหญ่จะไม่ดีนักเช่นพวกท่อน้ำต่างๆที่ควรเทียบหาของยี่ห้ออื่นมาใช้แทนดีกว่าหรือแม้แต่ตัวรัดท่อน้ำก็มักเกิดปัญหาการั่วซึมน้ำหายบ่อยๆจึงควรเปลี่ยนไปใช้ของที่มีคุณภาพสูงขึ้นหรือมีการรัดที่แน่นหนามากขึ้น
    7. ท่อน้ำใต้คาร์บูมักจุผุและมีน้ำรั่วจนเป็นสาเหตุนำไปสู่ปัญหาน้ำขาดและความร้อนสูงได้
    สภาพรถมือสอง
    1. ราคาค่อนข้างแตกต่างกันมาเช่นห้าหมื่นกับสิบหมื่นซึ่งนั่นหมายถึงคุณภาพโดยรวมด้วย ส่วนมากจะพบว่ารถที่ราคาต่ำกว่าเจ็ดหมื่นสภาพมักไม่ค่อยดีหรือหาสภาพดีค่อนข้างยาก ซื้อมาอาจจะไม่คุ้มค่าการบูรณะ
    2. ส่วนมากที่เห็นมือสองทั่วไปรถจะสตาร์ทเครื่องติดยาก-วิ่งไม่ออก-ลากรอบไม่ขึ้น-แรงไม่ดี-ควันเยอะ อันนี้แม้เป็นเรื่องปกติของรถเก่าแต่ควรแยกให้ออกว่าการที่เครื่องติดยากนั้นเพราะเครื่องยนต์หลวมมากแล้วหรือเปล่า ถ้าเครื่องติดยากแถมควันโขมงอันนี้แสดงว่าเครื่องหลวมมากแล้วอาจจะใช้งานต่อไปไม่ดีนัก แต่ถ้าเครื่องติดยากแต่ควันก็ปกติหรือไม่เยอะเท่าไหร่ก็แสดงว่าเครื่องยังพอจะยังใช้งานได้อีกระยะนึงแต่อาจจะต้องมีการปรับตั้งหรือจูนเครื่องใหม่หรือล้างคาร์บูใหม่ในงบที่ไม่สูงนัก แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องวาล์วดัง-แอร์ไม่เย็น-ความร้อนสูงอันนี้พยามลี้ให้ห่างครับ
    สรุป
    ถ้ามองหารถในราคาราว 7-15หมื่นราวปี92-97 มิราก็เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจสำหรับคนที่งบน้อยและชอบความเล็กจิ๋วแต่แจ๋วของมัน แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคืออู่ซ่อมใกล้บ้านครับสอบถามกันให้แน่ชัดก่อนว่ารับซ่อมมันหรือเปล่าหรือพอจะช่วยหาอะไหล่ให้ได้หรือเปล่า เพราะสาเหตุจริงๆที่ช่างไม่อยากรับซ่อมมันคือมันคิดราคายากและได้เงินน้อยอาจจะไม่คุ้มค่าเสียเวลา(ของช่างเห็นแก่ตัว)ในการซ่อมเพราะรู้ๆอยู่ว่ารถมันราคาไม่สูงคนที่ใช้ก็ใช่ว่าจะมีตังค์มากมายอะไรครั้งจะโขกราคาก็กลัวโดนต่อว่าเลยตัดปัญหาไม่รับซ่อมมันซะเลยสิ้นเรื่องสิ้นราวทั้งที่มันไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมายพื้นๆไม่ต่างจากแมงกะไซค์เท่าไหร่หรือถ้าหาอู่ไม่ได้จริงๆก่อนซื้อก็ลองแวะไปคุยกับอู่ซ่อมแมงกะไซค์ใกล้บ้านดูว่าพอช่วยเหลือกันได้หรือเปล่าก็ไม่เลวนะครับ ส่วนท่านที่วางแผนที่จะเล่นตัวนี้ลองมองไปที่ตัวกระบะก่อนนะครับหรือกระบะดัดแปลงตัวสองประตูนั่นแหละเพราพื้นที่ใช้สอยดูจะมากกว่าตัวสี่หรือห้าประตูครับ ที่สำคัญอีกอย่างนึงคือเตรียมงบสำรองเผื่อซ่อมบูรณะมันไว้ซักหมื่นด้วยนะครับ
    ป.ล เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ

    หมายเหตุ ผมเจอข้อความนี้ใน one2car คิดว่าหน้าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆในคลับน่ะครับโดยเฉพาะระยะการตังวาวล์ของเครื่องเดิมที่ชอบมีปัญหาเป็นประจำ
    โพสโดย :mira_rungsit
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2007
  27. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    เอา ED-10ไปผูกโบดี หรือว่า วาง EF 660 DOHC โบดีกว่าครับ?

    คำถาม : 1.เครื่องเดิมตอนนี้ เป็น ED-10 คาบิว จะเปลี่ยนเป็น EF ทวินแคม หัวฉีดเทอร์โบ อยากทราบว่า
    สมรรถนะจะแตกต่างกันมากแค่ไหนครับ?
    2. หรือว่า ถ้าเอา ED-10 ตัวเดิม ไปผูกโบ ต้องทำอะไรบ้างครับ เครื่องจะได้ไม่กระจาย?
    3. ถ้าเปลี่ยนเป็น EF660 DOHC โบ ยังใช้เกียร์ลูกเดิมได้มั้ยครับ? หรือว่า ยกมาทั้งแพเลยดีกว่า?
    4. ระหว่างข้อ 1 กะ 2 อันไหนง่ายกว่า เสียค่าใช้จ่ายมากกว่ากันครับ?

    คำตอบ :ตอบข้อ 1
    ถามถึงความแตกต่างของสมรรถนะ มากเลย ยังไง EF 660(โบ) นั้นเหนือกว่าทุกอย่างก็ว่าได้ครับ
    ทั้งเรื่องอัตราเร่ง และการประหยัดน้ำมัน..น่ะครับ เนื่องมาจากการพัฒนาข้องระบบเครื่องยนต์ที่ใหม่กว่า
    เสียเงินก้อนที่เดียวดีกว่า น่ะครับ ใช้ได้อีกยาวนานไม่จุกจิกครับ เป็นระบบ หัวฉีด มีการควบคุมการฉีดจ่าย
    น้ำมันที่ สมดุล พอเหมาะกับรอบเครื่องขณะที่เราขับด้วยกล่อง ECU ต่างกับเครื่อง ED ที่เป็นระบบ
    คาร์บูเรเตอร์ ที่ไม่มีจ่ายน้ำมันตามจานเร่งผสมน้ำมันกับอากาศในคาร์บูฯ ซึ่งลิ้นปีกเปิดมากน้ำมันก็ลงมาก
    อีกทั้งเครื่องยนต์ก็ปีเก่ามากแล้ว ครั้งเราบำรุ่งรักษาไม่ดี หรือไม่มีเวลาตรวจสอบดูแล ก็ยิ่งต้องซ้อมแซม
    มากหรือตลอดเวลาการใช้งาน เดี๋ยวเป็นโน้นเดี่ยวเป็นนี้ ร่วมค่าใช้จ่ายแล้ว..ว่างใหม่ก็คุ้มกว่าแน่นอน.ครับ

    ตอบข้อ 2
    หากเราเอาเครื่อง ED ไปผูกโบ แน่นอนที่เครื่องที่เราจะเซ็ตเทอร์โบเข้าไปนั้น ต้องสมบูรณ์
    จริงๆ ถ้าไม่ใช้ได้ครับ แต่ไม่นานก็กระจาย..แน่นอน และเมื่อเราเซ็ตไปแล้วก็ต้องเสริม อุปกรณ์ป้องกัน ลูก
    ชราฟ์และข้อเหวี่ยง อีก เช่น เว็สเกตุแยก และโบออฟ เพื่อป้องกันบูสที่จะหนักเกินกว่าเครื่องจะรับไว้ เรื่อง
    รอบปลายตอนบูสมาน้ำมันก็จะลงไม่ทัน ต้องเพิ่มปั๊มติ๊ก และปักหัวฉีดเพิ่มตัดสวิทย์แยกไว้เปิดรอบปลาย
    เหมือนเรายิ่งน๊อส...อีกน่ะครับ ไม่งั้นคงมีอาการเซงตามมาอีกเวลาสัด ซึ่งว่าง่ายๆจุกจิกมากครับ เรื่องราคา
    หากไม่ได้ทำเอง หรือช่างที่สนิทๆ มันฟันค่าแรงเราแหลกรานแน่นอนอีกอ๊ะครับ ค่าของหากเราหาได้ถูกๆ
    ก็น่าจะจบไม่เกิน 10000 บาท แยกออกมาก็ โบลูก 2000 อินเตอร์ 1500 โบออฟ 3500 เว็ตเกตุ 2800 ค่า
    แรงกินเปล่ามันเอาเราแน่นอน 5000 อัฟ ค่าเดินท่อ เจาะแคร้ง อีกไม่ต่ำกว่า 3000 บาท ไหลก็เกือบ
    20000 บาทแล้ว อันนี้ไม่รวมตอนเราสัดพังอีกน่ะครับ ถ้าเกินข้อผิดพลาด....อ๊ะ แต่ว่างใหม่ ค่าเครื่องประมาณ
    15000 บาท ค่าว่างพร้อมวายสาย รวมของเหลวประมาณแพงเลยน่ะ เอาไป 7000 จบเลยครับ..แน่นอนกว่า

    ตอบข้อ 3
    ใช้เกียร์ลูกเดิมได้เลยครับ ถ้าจะยกทั้งแพ เราต้องดูว่าเกียร์เรายังดีไหม ช่วงล่างต่างๆและคานหน้ายังดีมัย
    ถ้ายังดีก็ไม่จำเป้นต้องยกทั้งแพครับเปลืองตังค์ป่าวๆ แต่ถ้าไม่ดี ยกแพคุ้มกว่าครับ เครื่องยกแพก็ประมาณ
    22000 ครับถ้าราคาสูงกว่านี้แพงไปครับ...หาร้านใหม่ดีกว่า

    ตอบข้อที่ 4
    อันที่ง่ายกว่าก็ว่างใหม่สมบูรณ์กว่า เทอร์โบมาจากโรงงานยังไงก็ดีกว่า ปีเครื่องก็ใหม่กว่าไม่จุกจิกๆจบ
    ง่ายๆส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย การวางเครื่องใหม่ ค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่ก็แตกต่างไม่เกิน 5000 ซัดได้แบบ
    ยาวๆ ซัดไม่ต้องกลัวพัง..น่ะครับกดตูดแจ๊ส ไล่กันขี้แตกขี้แตนเลยครับ มันส์ แรง และประหยัด

    อันนี้ก็เป็นความคิดเห็นในส่วนตัวผมน่ะครับ ลองเอาเป็นแนวทางการตัดสินใจ ยังไงก็รอท่านอื่นมาช่วยกัน
    แนะนำน่ะครับ จะได้มีหลายแนวทางให้ตัดสินใจได้อีก..ครับ

    ตอบโดย : mira_rungsit
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มกราคม 2008
  28. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    ชื่อรุ่น และรหัสตัวถัง

    [​IMG]
    MIRA [L275S L285S]

    [​IMG]
    MOVE [L175S L185S]

    [​IMG]
    SONICA [L405S L415S]

    [​IMG]
    MIRA/MIRAGINO [L700 L710]

    [​IMG]
    ESSE [L235S L245S]

    [​IMG]
    MIRA GINO [L650S L660S]

    [​IMG]
    TANTO [L350S L360S]

    [​IMG]
    COPEN [L880K]

    [​IMG]
    MAX [L962S L952S L950S L960S]

    [​IMG]
    MIRA [L200S L210S L200V]

    [​IMG]
    MIRA [L502S L512S L500]

    [​IMG]
    MIRA AVY [L250 L260]

    [​IMG]
    MOVE [L602S L600S L610S]

    [​IMG]
    MOVE [L902S L912S L900S L910S]

    [​IMG]
    MOVE [L152S L150S L160S]

    [​IMG]
    ATRAY [S220 S230]

    [​IMG]
    ATRAY/HIJET [S320G S330G S321G S331G S320V S330V S321V S331V]

    [​IMG]
    Mira [L70]

    อนุเคราะห์ข้อมูลโดย : BigBoss
     
  29. PALM@ARCH

    PALM@ARCH Member Moderator

    341
    2
    18
    Daihatsu CHARADE SE 1990-1992 _Vacuum Diagrams

    เอามาฝากให้ครับ ค้นเล่นๆแล้วไปเจอมาครับ
     
< Previous Thread | Next Thread >
สถานะหัวข้อ:
ไม่เปิดให้ตอบกลับเพิ่มเติม

แบ่งปันหน้านี้