เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Team and group
>
Team and Group
>
MiNoRi
>
วันนี้เพชชี่ขอมีสาระเรื่องหัวเทียนจ้า
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="<< PeTcHy Green Projek >>, post: 237804, member: 6618"]เริ่มแรกขอเริ่มที่เบอร์หัวเทียนก่อนนะครับ หัวเทียนในแต่ละยี่ห้อนั้น มันบอกเบอร์ไม่ได้ครับ ตัวเลขของแต่ละแบรนด์ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะเทียบกันจริง ๆ คงต้องใช้ตารางเทียบว่าแบรนด์นี้ เบอร์นี้ ตรงกับรุ่นอะไร ถึงจะชัวร์ และอย่างที่ใช้กันประจำ ๆ พูดกันติดปากก็ไม่พ้น "NGK" หัวเทียนทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่าหัวเทียนร้อน จะเป็นเบอร์ต่ำเสมอ ส่วนหัวเทียนเย็นจะเป็นเบอร์สูง .... ว่าแต่ร้อนกับเย็นมันต่างกันยังงัย.... </p><p> </p><p>หัวเทียนร้อน </p><p> </p><p> "หัวเทียนร้อนเนี่ย...ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า" เมื่อเราใช้งานจริง ในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น </p><p> </p><p>หัวเทียนเย็น </p><p> </p><p> "หัวเทียนเย็นก็คือ...ตัวมันเองสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียนร้อน" แต่ไม่ใช่ว่ามันจะหายร้อนเลยนะครับ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับหนึ่งเพื่อให้แห้งตลอดเวลาเป็นทั้งหัวเทียนร้อนแล</p><p>ะเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็นสามารถถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง </p><p> </p><p> มันเหมือนกับเหล็กเผาไฟนั่นแหละ เมื่อโดนน้ำ มันก็จะดัง "ฟู่" ควันฉุยแล้วก็หายไป แต่เหล็กนั้นมันก็ยังร้อนเหมือนเดิม ซึ่งเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้ "ไอดี" มันเป็น "ความชื้น" เมื่อความชื้นพ่นมาโดนอะไรสักอย่าง มันก็จะทำให้ของชิ้นนั้นเปียก ดังนั้นถ้าเราเปรียบของชิ้นนั้นเป็นหัวเทียน ถ้ามันเปียก ก็จะส่งผลให้ "หัวเทียนบอด" </p><p> </p><p> ผมลองยกตัวอย่างให้ดูนะครับ รถที่วิ่งใช้งานในเมืองทุกวัน วิ่งช้า ๆ ตลอด คลานกระดึ้บ ๆ ไปเรื่อย ๆ ชิว ชิว รถพวกนี้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำมากเลย ซึ่งถ้าในสถานการณ์นี้ควรเลือกใช้ "หัวเทียนร้อน" เพราะเราต้องการระบายความร้อนช้า ๆ เพื่อเก็บความร้อนสะสมไว้ ไม่ให้ "หัวเทียนบอด".....ไงจ๊ะ... </p><p> </p><p> กลับกัน ถ้าเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูงมาก ๆ ถ้าเราใช้หัวเทียนร้อน มันจะทำให้ระบายความร้อนไม่ทัน อาจสร้างความ "ชิ.....หาย" ได้ ต่าง ๆ นานา เช่น หัวเทียนละลาย กระเบื้องแตก และ เกิดการชิงจุดก็เป็นไปได้ "คือว่าหัวเทียนมันร้อนเกินไป มันก็เหมือนโลหะเผาไฟ ร้อนแดง เมื่อมีไอดีเข้า มันเป็นเชื้อเพลิงพร้อมที่จะจุดระเบิด พอมากระทบตัวหัวเทียนปุ๊บ ซึ่งมันยังไม่ทันถึงจังหวะจุดระเบิด มันก็จุดระเบิดทันที จากความร้อนสะสมของหัวเทียน" ซึ่งรถที่ใช้ความเร็วตลอดควรเลือใช้ "หัวเทียนเย็น" เพื่อการระบายความร้อนที่ดีกว่า </p><p> </p><p> แต่ว่า.....มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานให้ถูกประเภท (เฉพาะกิจ) ด้วย อย่างแต่งเครื่องซิ่ง...สุดประเทศ..! มันจะมีความร้อนสูงมากกว่าเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป และส่วนมากมักเป็นเครื่องที่มีเทอร์โบ ซึ่งเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเครื่อง (over lap) มาก จุดระเบิดไม่ค่อยดีในรอบต่ำ หัวเทียนที่ใช้จึงเป็นหัวเทียนเย็นเสมอ </p><p> </p><p> แต่ถ้าเรานำเครื่องซิ่ง วิ่งผิดประเภท (ในเมือง รถติด ๆ ) อันนี้ก็นต้องจบข่าว.... เพราะเครื่องประเภทนี้มันต้อง "เหนี่ยว" อย่างเดียว แต่ถ้ามาวิ่งผิดที่ รับรองวิ่งไม่ได้ เพราะเครื่องซิ่งเหล่านี้ ส่วนมากรอบต่ำมันวิ่ง "หมา ไม่แด....อยู่แล้ว" ยิ่งเจอรถติดในเมือง รับรองแม่เจ้า...ไม่รอด "บอดสนิท" ทุกราย ซึ่งถ้าจะมาใช้ในเมืองจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวเทียนร้อนแทน แต่ถ้าดันทุรังมีหวัง "หลับ" ทุกราย </p><p> </p><p> ในปีลึก ๆ ที่ผ่านมา แกนหัวเทียนจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าเป็นพวก "แพลทตินั่ม" ก็จะมีลักษณะสามเหลี่ยมคล้ายยอด "พีลามิด" ซึ่งแกนเนี่ยสำคัญ มันเป็นตัวปล่อยให้กระแสไฟไหลผ่าน ยิ่งปลายยอดแกนยิ่งเล็กยิ่งดี ซึ่งมันมีที่มาที่ไปคือ ในห้องเผาไหม้มันมีกำลังอัดสูง ไฟฟ้า มันจะโดดยากบนเงื่อนไขที่มีแรงดันสูง </p><p> </p><p> แต่ที่เราเห็นในร้านประดับยนต์ทั่วไป กับชุด "display" ที่โชว์กระแสไฟแรง ๆ นั่นน่ะ ซึ่งถ้ามันอยู่บนเงื่อนไขสถาณการณ์จริง ๆ ในห้องเผาไหมแล้ว มันแทบจะไม่ยิงให้เห็นเลย ยิ่งเครื่องบูสต์หนัก ๆ นั้น แทบจะไม่ออกเลย </p><p> </p><p> ดังนั้นหัวเทียนรุ่นใหม่ ๆ ผู้ผลิตจึงเน้นแกนให้เล็กลง เพื่อให้กระแสไฟมาไหลอยู่ที่ปลายแกนแบบเข้ม ๆ แล้วค่อยยิงออกไป ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่เป็นแกนเบ้อเริ่ม ก็เพราะว่าโลหะสมัยก่อน มันยังพัฒนาไม่เต็มที่เหมือนปัจจุบัน ถ้าทำแกนหัวเทียนออกมา เล็ก ๆ แล้ว ส่วนมากมักทนความร้อนไม่ไหว ก็ละลายในที่สุด </p><p> </p><p> ยุคปัจจุบันคำว่า "แพลทตินั่ม" เริ่มเบาหูลง เพราะอิทธิพลของ "อิริเดียม" เข้ามายืนแป้นแทน เนื่องจากจุดหลอมเหลวหรือจุดสึกหรอ จากการ "สปาร์ค" มันแทบจะไม่มี ดังนั้น "อิริเดียม" มันจึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน </p><p> </p><p>เขี้ยวหัวเทียน </p><p> </p><p> ก็ว่ากันเรื่องแกนไปแล้ว แถมเรื่องของ "เขี้ยวหัวเทียน" ต่อเลยละกัน เขี้ยวหัวเทียนมันจะมีขนาดใหญ่ ๆ เป็นตัว U บ้าง V บ้าง สารพัดเลย และบางรุ่นก็ใจป้ำ คือ "ไม่มีเขี้ยว...!" แต่สุดท้ายเนี่ยก็คือ "ยิ่งเขี้วใหญ่ก็ยิ่งขวางทาง" อันนี้เป็นทริคเล็ก ๆ นะครับ ขณะที่เราขันหัวเทียน ฝั่งที่เป็นขาของเขี้ยวหัวไปทางฝั่งไอเสีย ส่วนด้านฝั่งที่เปิดอยู่ก็หันไปทางไอดีเสมอ ซึ่งตรงจุดนี้ มันสร้าง "เพาเวอร์" ให้กับรถอีกนิดหน่อยเลยล่ะ สาเหตุมาจาก มวลไอดี มันจะเข้มมากในห้องเผาไหม้ทางฝั่งไอดี พอหัวเทียนสั่งจุดระเบิด มันจะจุดฝั่งที่มีไอดีเข้มและขยายตัวไปจนเต็มห้องเผาไหม้ มันจะเป็นการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า </p><p> </p><p>อายุการใช้งาน </p><p> </p><p> สำหรับอายุการใช้งานของมันไม่ตายตัว ส่วนมากมักไม่ค่อนสึก เว้นแต่พวก "ไฟแรงทรงเครื่อง" นั่นแหละ ใส่ออฟชั่นเสริม MSD ประมาณนี้ ก็อาจจะมีสึกบ้าง ซึ่งถ้าจะให้ชัวร์จริง ๆ ก็ควรตรวจสอบทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร น่าจะดีกว่า </p><p> </p><p>สายหัวเทียนควรจัดเก็บให้เป็นที่ </p><p> </p><p> สายหัวเทียนกับชุด CDI หรือพวกหัวฉีดเนี่ย ในรถแข่งก็อาจจะเป็นคอยล์แยก สายหัวเทียนมันก็จะพาดผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งลักษณะนี้มันสร้าง "ปาฏิหารย์" มาแล้ว ก็คือ "วิ่งแล้วสะดุด" แล้วหาต้นสายไม่เจอสักที </p><p> ทำมาแล้วทุกอย่างดีหมด แต่ก็ไม่หาย ในที่สุดก็ตรวจเช็คเรื่องระบบจุดระเบิดอีกครั้งจึงรู้ว่า สายหัวเทียน ซึ่งมีค่าความต้านทานต่ำ ๆ จำพวกไฟแรงมาก ๆ มันพาดไปผ่าน CDI กับหัวฉีดน่ะสิครับ เกิดคลื่น สนามแม่เหล็กรบกวนเพียบ ทำให้เพี้ยนไปหมด </p><p> ดังนั้น เราควรจัดให้เป็นระเบียบ อย่าให้มันยุ่ง เพื่อความสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันอาการแก้ไม่ตกอีกด้วย.....[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="<< PeTcHy Green Projek >>, post: 237804, member: 6618"]เริ่มแรกขอเริ่มที่เบอร์หัวเทียนก่อนนะครับ หัวเทียนในแต่ละยี่ห้อนั้น มันบอกเบอร์ไม่ได้ครับ ตัวเลขของแต่ละแบรนด์ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะเทียบกันจริง ๆ คงต้องใช้ตารางเทียบว่าแบรนด์นี้ เบอร์นี้ ตรงกับรุ่นอะไร ถึงจะชัวร์ และอย่างที่ใช้กันประจำ ๆ พูดกันติดปากก็ไม่พ้น "NGK" หัวเทียนทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่าหัวเทียนร้อน จะเป็นเบอร์ต่ำเสมอ ส่วนหัวเทียนเย็นจะเป็นเบอร์สูง .... ว่าแต่ร้อนกับเย็นมันต่างกันยังงัย.... หัวเทียนร้อน "หัวเทียนร้อนเนี่ย...ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า" เมื่อเราใช้งานจริง ในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น หัวเทียนเย็น "หัวเทียนเย็นก็คือ...ตัวมันเองสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียนร้อน" แต่ไม่ใช่ว่ามันจะหายร้อนเลยนะครับ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับหนึ่งเพื่อให้แห้งตลอดเวลาเป็นทั้งหัวเทียนร้อนแล ะเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็นสามารถถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง มันเหมือนกับเหล็กเผาไฟนั่นแหละ เมื่อโดนน้ำ มันก็จะดัง "ฟู่" ควันฉุยแล้วก็หายไป แต่เหล็กนั้นมันก็ยังร้อนเหมือนเดิม ซึ่งเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้ "ไอดี" มันเป็น "ความชื้น" เมื่อความชื้นพ่นมาโดนอะไรสักอย่าง มันก็จะทำให้ของชิ้นนั้นเปียก ดังนั้นถ้าเราเปรียบของชิ้นนั้นเป็นหัวเทียน ถ้ามันเปียก ก็จะส่งผลให้ "หัวเทียนบอด" ผมลองยกตัวอย่างให้ดูนะครับ รถที่วิ่งใช้งานในเมืองทุกวัน วิ่งช้า ๆ ตลอด คลานกระดึ้บ ๆ ไปเรื่อย ๆ ชิว ชิว รถพวกนี้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำมากเลย ซึ่งถ้าในสถานการณ์นี้ควรเลือกใช้ "หัวเทียนร้อน" เพราะเราต้องการระบายความร้อนช้า ๆ เพื่อเก็บความร้อนสะสมไว้ ไม่ให้ "หัวเทียนบอด".....ไงจ๊ะ... กลับกัน ถ้าเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูงมาก ๆ ถ้าเราใช้หัวเทียนร้อน มันจะทำให้ระบายความร้อนไม่ทัน อาจสร้างความ "ชิ.....หาย" ได้ ต่าง ๆ นานา เช่น หัวเทียนละลาย กระเบื้องแตก และ เกิดการชิงจุดก็เป็นไปได้ "คือว่าหัวเทียนมันร้อนเกินไป มันก็เหมือนโลหะเผาไฟ ร้อนแดง เมื่อมีไอดีเข้า มันเป็นเชื้อเพลิงพร้อมที่จะจุดระเบิด พอมากระทบตัวหัวเทียนปุ๊บ ซึ่งมันยังไม่ทันถึงจังหวะจุดระเบิด มันก็จุดระเบิดทันที จากความร้อนสะสมของหัวเทียน" ซึ่งรถที่ใช้ความเร็วตลอดควรเลือใช้ "หัวเทียนเย็น" เพื่อการระบายความร้อนที่ดีกว่า แต่ว่า.....มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานให้ถูกประเภท (เฉพาะกิจ) ด้วย อย่างแต่งเครื่องซิ่ง...สุดประเทศ..! มันจะมีความร้อนสูงมากกว่าเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป และส่วนมากมักเป็นเครื่องที่มีเทอร์โบ ซึ่งเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเครื่อง (over lap) มาก จุดระเบิดไม่ค่อยดีในรอบต่ำ หัวเทียนที่ใช้จึงเป็นหัวเทียนเย็นเสมอ แต่ถ้าเรานำเครื่องซิ่ง วิ่งผิดประเภท (ในเมือง รถติด ๆ ) อันนี้ก็นต้องจบข่าว.... เพราะเครื่องประเภทนี้มันต้อง "เหนี่ยว" อย่างเดียว แต่ถ้ามาวิ่งผิดที่ รับรองวิ่งไม่ได้ เพราะเครื่องซิ่งเหล่านี้ ส่วนมากรอบต่ำมันวิ่ง "หมา ไม่แด....อยู่แล้ว" ยิ่งเจอรถติดในเมือง รับรองแม่เจ้า...ไม่รอด "บอดสนิท" ทุกราย ซึ่งถ้าจะมาใช้ในเมืองจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวเทียนร้อนแทน แต่ถ้าดันทุรังมีหวัง "หลับ" ทุกราย ในปีลึก ๆ ที่ผ่านมา แกนหัวเทียนจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าเป็นพวก "แพลทตินั่ม" ก็จะมีลักษณะสามเหลี่ยมคล้ายยอด "พีลามิด" ซึ่งแกนเนี่ยสำคัญ มันเป็นตัวปล่อยให้กระแสไฟไหลผ่าน ยิ่งปลายยอดแกนยิ่งเล็กยิ่งดี ซึ่งมันมีที่มาที่ไปคือ ในห้องเผาไหม้มันมีกำลังอัดสูง ไฟฟ้า มันจะโดดยากบนเงื่อนไขที่มีแรงดันสูง แต่ที่เราเห็นในร้านประดับยนต์ทั่วไป กับชุด "display" ที่โชว์กระแสไฟแรง ๆ นั่นน่ะ ซึ่งถ้ามันอยู่บนเงื่อนไขสถาณการณ์จริง ๆ ในห้องเผาไหมแล้ว มันแทบจะไม่ยิงให้เห็นเลย ยิ่งเครื่องบูสต์หนัก ๆ นั้น แทบจะไม่ออกเลย ดังนั้นหัวเทียนรุ่นใหม่ ๆ ผู้ผลิตจึงเน้นแกนให้เล็กลง เพื่อให้กระแสไฟมาไหลอยู่ที่ปลายแกนแบบเข้ม ๆ แล้วค่อยยิงออกไป ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่เป็นแกนเบ้อเริ่ม ก็เพราะว่าโลหะสมัยก่อน มันยังพัฒนาไม่เต็มที่เหมือนปัจจุบัน ถ้าทำแกนหัวเทียนออกมา เล็ก ๆ แล้ว ส่วนมากมักทนความร้อนไม่ไหว ก็ละลายในที่สุด ยุคปัจจุบันคำว่า "แพลทตินั่ม" เริ่มเบาหูลง เพราะอิทธิพลของ "อิริเดียม" เข้ามายืนแป้นแทน เนื่องจากจุดหลอมเหลวหรือจุดสึกหรอ จากการ "สปาร์ค" มันแทบจะไม่มี ดังนั้น "อิริเดียม" มันจึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เขี้ยวหัวเทียน ก็ว่ากันเรื่องแกนไปแล้ว แถมเรื่องของ "เขี้ยวหัวเทียน" ต่อเลยละกัน เขี้ยวหัวเทียนมันจะมีขนาดใหญ่ ๆ เป็นตัว U บ้าง V บ้าง สารพัดเลย และบางรุ่นก็ใจป้ำ คือ "ไม่มีเขี้ยว...!" แต่สุดท้ายเนี่ยก็คือ "ยิ่งเขี้วใหญ่ก็ยิ่งขวางทาง" อันนี้เป็นทริคเล็ก ๆ นะครับ ขณะที่เราขันหัวเทียน ฝั่งที่เป็นขาของเขี้ยวหัวไปทางฝั่งไอเสีย ส่วนด้านฝั่งที่เปิดอยู่ก็หันไปทางไอดีเสมอ ซึ่งตรงจุดนี้ มันสร้าง "เพาเวอร์" ให้กับรถอีกนิดหน่อยเลยล่ะ สาเหตุมาจาก มวลไอดี มันจะเข้มมากในห้องเผาไหม้ทางฝั่งไอดี พอหัวเทียนสั่งจุดระเบิด มันจะจุดฝั่งที่มีไอดีเข้มและขยายตัวไปจนเต็มห้องเผาไหม้ มันจะเป็นการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า อายุการใช้งาน สำหรับอายุการใช้งานของมันไม่ตายตัว ส่วนมากมักไม่ค่อนสึก เว้นแต่พวก "ไฟแรงทรงเครื่อง" นั่นแหละ ใส่ออฟชั่นเสริม MSD ประมาณนี้ ก็อาจจะมีสึกบ้าง ซึ่งถ้าจะให้ชัวร์จริง ๆ ก็ควรตรวจสอบทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร น่าจะดีกว่า สายหัวเทียนควรจัดเก็บให้เป็นที่ สายหัวเทียนกับชุด CDI หรือพวกหัวฉีดเนี่ย ในรถแข่งก็อาจจะเป็นคอยล์แยก สายหัวเทียนมันก็จะพาดผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งลักษณะนี้มันสร้าง "ปาฏิหารย์" มาแล้ว ก็คือ "วิ่งแล้วสะดุด" แล้วหาต้นสายไม่เจอสักที ทำมาแล้วทุกอย่างดีหมด แต่ก็ไม่หาย ในที่สุดก็ตรวจเช็คเรื่องระบบจุดระเบิดอีกครั้งจึงรู้ว่า สายหัวเทียน ซึ่งมีค่าความต้านทานต่ำ ๆ จำพวกไฟแรงมาก ๆ มันพาดไปผ่าน CDI กับหัวฉีดน่ะสิครับ เกิดคลื่น สนามแม่เหล็กรบกวนเพียบ ทำให้เพี้ยนไปหมด ดังนั้น เราควรจัดให้เป็นระเบียบ อย่าให้มันยุ่ง เพื่อความสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันอาการแก้ไม่ตกอีกด้วย.....[/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Team and group
>
Team and Group
>
MiNoRi
>
วันนี้เพชชี่ขอมีสาระเรื่องหัวเทียนจ้า
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...