เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
RacingWeb Community
>
Motorsport Forum
>
Circuit Racing
>
ผลการจัดอันดับ XO Time Attack 2009 ออกมาแล้ว เร็วที่สุดในปีนี้ 1:00:554 นาที
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="DUKE_68, post: 1358996, member: 33494"]<b><span style="color: Yellow">จาก : </span></b><a href="http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/yuadyan/detail.asp?Detail_Id=5113&Column_Name=Motorsport" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/yuadyan/detail.asp?Detail_Id=5113&Column_Name=Motorsport" rel="nofollow">http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/yuadyan/detail.asp?Detail_Id=5113&Column_Name=Motorsport</a></p><p><br /></p><p><img src="http://www.grandprixgroup.com/image_front/5113.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><font size="5"><span style="color: Orange"><b>ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะจิตวิญญาณคนแข่งรถ</b></span></font></p><p><br /></p><p><font size="3">หากให้กล่าวถึงนักแข่งไทยที่ยืนหยัดในวงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเรามาอย่างยาวนาน ด้วยมาตรฐานที่ไม่ได้ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย “ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ” น่าจะเป็นนักแข่งไทยคนหนึ่งที่ถือได้ว่า เป็นตำนานแห่งวงการแข่งรถของไทย </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ยวดยานมอเตอร์สปอร์ต ถือโอกาสนี้เปิดอกลูกผู้ชายคนนี้กับหลากประสบการณ์ หลายความรู้สึกบนเส้นทางสายมอเตอร์สปอร์ต ที่เขาเลือกเดินมาแล้วกว่า 32 ปี</font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ณัฐวุฒิ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเขาในเส้นทางสายมอเตอร์สปอร์ตว่า <b>“เนื่องจากครอบครัวให้ความสนใจเรื่องรถ และมีโอกาสคลุกคลีกับรุ่นพี่ซึ่งชอบความเร็ว ทำให้เกิดความอยากลองขึ้นมา เพราะมีแรงบันดาลใจจากคุณพ่อซึ่งชอบรถแข่ง มันเป็นเรื่องของสายเลือด เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมเริ่มต้นในฐานะนักแข่งโมโตครอส ด้วยวัยเพียง 13 ปี ระหว่างนั้นก็ฝึกงานในร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ไปด้วย เพราะมองว่านี่คือ พื้นฐานที่จะทำให้เข้าใจในตัวรถมากขึ้น ตอนนั้นกีฬาแข่งรถเป็นเรื่องของความอยาก เป็นกีฬาที่ท้าทายความเป็นลูกผู้ชาย” </b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">จากความหลงไหล กลายเป็นความมุ่งมั่น ที่จะก้าวสู่ความท้าทายใหม่ ทำให้ “ณัฐวุฒิ” เข้าใจการแข่งรถและตัวรถอย่างถ่องแท้ </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ตลอดชีวิตนักแข่ง ผมผ่านการดีใจ เสียใจ เจ็บตัว รู้สึกท้อแท้ เบื่อ อยากเลิก มันมีทุกความรู้สึก ความเสียหาย ความพ่ายแพ้ รวมถึงชัยชนะ ทุกอย่างมันหล่อหลอมจนทำให้เราแข็งแกร่ง” </b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่การหาของ จากไม่เป็น ไม่รู้เรื่อง ทำจนเป็น นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มา ทำให้เราเข้าใจหลักต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวรถโดยถ่องแท้ ต่างจากเด็กสมัยใหม่ที่มีเงินก้อนหนึ่งแล้วอยากแข่ง ก็หว่านเงินซื้อของ การทำอย่างนี้มันไม่ได้อะไร ตรงกันข้ามหากเราเข้าใจระบบ เราจะสามารถบอกช่างได้ว่าอาการรถเป็นอย่างไร ควรแก้ไขตรงไหน ความเข้าใจจุดนี้สำคัญต่อการเป็นนักแข่งมาก”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ณัฐวุฒิ ผ่านสังเวียนแข่งรถมานับไม่ถ้วน ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแข่งด้วยการแข่งขันแบบ 2 ล้อวิบากกว่า 15 ปี และมอเตอร์ไซค์ทางเรียบอีกกว่า 6 ปี ก่อนตัดสินใจทิ้งอานมอเตอร์ไซค์ มาสู่เกมมอเตอร์สปอร์ต 4 ล้อ ซึ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น</font></p><p><font size="3"><b><br /></b></font></p><p><font size="3"><b>“พออายุเริ่มมากขึ้น เจ็บตัวมากขึ้น จึงเริ่มคิดว่าควรหาอะไรที่ปลอดภัยเพื่อมารองรับตัวเอง และที่สำคัญผมเริ่มอิ่มตัวกับการแข่งมอเตอร์ไซค์ นี่เป็นเหตุผล 2 ข้อหลักๆ ที่หันมาสู่การแข่งขันรถยนต์แทน จาก 2 ล้อ สู่ 4 ล้อ ต้องอาศัยการเรียนรู้ ต้องหมั่นศึกษา ผมเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หากมีอะไรที่จะพัฒนาฝีมือการขับรถของเราได้ ผมก็จะเรียนรู้มันเพื่อความสำเร็จ เพราะโลกมันไม่เคยหยุด ถ้าเราหยุดก็เท่ากับต้องเดินตามหลัง” </b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ความรู้สึกของ “ณัฐวุฒิ” ในสนามแข่งเป็นอย่างไร ลองตามไปดูกัน <b>“ในสนามแข่งเราต้องมีสติ ต้องรู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ก็เคยมีบางครั้งที่กลั้นไม่อยู่เพราะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่การระเบิดออกมามันไม่ได้มีผลดี เราต้องรู้หน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ นั่นคือการอยู่ในเกมที่ขาวสะอาด” </b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ที่สำคัญต้องรู้ขีดความสามารถของตัวเอง การจะทำอะไรทุกอย่างไม่ควรทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรเผื่อโอกาสพลาดไว้บ้าง เลือกใช้จังหวะและโอกาสให้เหมาะสม”</b> </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ณัฐวุฒิ ไม่ปฏิเสธว่าเขาโหยหาชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ภารกิจส่วนใหญ่อยู่กับมอเตอร์สปอร์ต กับคนใกล้ชิดซึ่งต้องทำความเข้าใจ เขาก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ถือเป็นชีวิตคนละแบบ เวลาที่เคยมีก็ต้องเอามาให้รถ เหนื่อย แต่จะพยายามแบ่งเวลาให้ลงตัวมากที่สุด ผมมีครอบครัว มีลูก และอยากให้ลูกเป็นคนดี มีความรับผิดชอบในตัวเอง และจะสอนเขาว่าต้องอยู่ในสังคมด้วยตัวเองให้ได้”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงจากคนรอบกาย ครั้งหนึ่งแม่มายืนข้างเตียงผ่าตัด เพราะขาหัก ท่านอยากให้เลิก แต่ไม่เคยห้าม เพราะรู้ว่าผมเป็นคนมุ่งมั่น ส่วนกับภรรยาเราก็มีการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เราทำ เมื่อผมชอบผมรักอาชีพนี้ และผมพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่าผมทำได้” </b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">แม้จะผูกพันกับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาทั้งชีวิต แต่บางมุม “ณัฐวุฒิ” ก็เคยหมดไฟ<b> “มันจะมาเป็นช่วงๆ มันเกิดขึ้นจากความเบื่อ ความท้อแท้ เมื่อทำไม่ได้อย่างที่ตั้งความหวังไว้ ความรู้สึกเหล่านั้นจะก่อตัว” </b></font></p><p><font size="3"><b><br /></b></font></p><p><font size="3"><b>“ถ้าถามว่าจะเลิกตอนไหน ก็ต่อเมื่อไม่มีใครจ้างให้แข่งแล้ว ตอนนั้นแหละถึงจะเลิก”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมเคยเข้าสู่จุดอิ่มตัวกับสิ่งที่ทำ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นแก่นสารจริงๆ แต่เมื่อมีอะไรมาจุดไฟให้ติด มันก็พร้อมที่จะลุกโชนขึ้นอีกครั้ง อาชีพนักแข่งมันคือสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันเป็นเรื่องท้าทายที่จะรักษาระดับความสามารถของตนเองให้ความคงเส้นคงวาได้ตลอด”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ทุกครั้งที่ท้อแท้ มีทางออกอย่างไร </font></p><p><font size="3"><b>“ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าหมดไฟ การถอยหลังออกมาถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าว่างจากการแข่งรถจะเล่นกีฬา ผมชอบอยู่กับบ้านเพราะเบื่อการเดินทาง ให้รู้สึกผ่อนคลายเพื่อรักษาความบอบช้ำจากสิ่งที่ได้เจอมาต้องพักผ่อนเพื่อชาร์ตแบตแล้วกลับไปลุยกับมันต่อ”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">หลากหลายความรู้สึกที่ ณัฐวุฒิ ได้สัมผัสตลอดอาชีพนักแข่ง หลายครั้งที่ท้อจนคิดเลิก หลายครั้งที่ผิดหวังจนหมดไฟ แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ในวงการที่เชี่ยวกราก</font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมคิดเสมอว่าแม้จะมีพร้อมทั้งฝีมือ ทุน ผู้สนับสนุน ทีมแข่งที่ดี แต่ถ้าขาดความเป็นมืออาชีพก็ไม่สามารถจะเป็นนักแข่งที่ดีได้ ซึ่งมันจะส่งผลถึงอาชีพของคุณเพราะถ้าคุณไม่สามารถรักษามาตรฐานการขับได้ ถ้าคุณไม่มีวินัยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาก็ไม่จ้างคุณ”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">กว่า 32 ปี ในสังเวียนความเร็ว ถ้วยรางวัลนับไม่ถ้วนบ่งบอกได้ถึงความสำเร็จ ไม่เคยมีวันไหนที่ “ณัฐวุฒิ” หลงไหลกับสิ่งเหล่านั้น </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“ผมทำเพราะสนุกกับมัน รักมัน และจะทำจนกว่าจะไม่ไหว วันนั้นถึงจะเลิก วงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเราค่อนข้างฉาบฉวย ต้องดิ้นรนต่อสู้หากอยากอยู่ในวงการ ความสำเร็จคือการต่อลมหายใจให้อยู่ในอาชีพในปีต่อๆ ไป ผมเปรียบอาชีพนักแข่งเหมือนหมาล่าเนื้อตัวหนึ่งที่หากยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ ก็ยังมีประโยชน์กับนายพราน”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">มองวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยอย่างไร?</font></p><p><font size="3"><b>“แต่ละยุคจะมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป ยุคแรกๆ จะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นน่าค้นหา เป็นแบบลูกทุ่งๆ เนื่องจากมีการจัดแข่งทั่วประเทศ ทำให้มีแรงกระตุ้นในการแข่ง แต่พอมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสนุกของกีฬาก็หมดไป และแทนที่ด้วยผลประโยชน์ ซึ่งแต่ละคนล้วนอยากมี อยากได้ ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">แต่มอเตอร์สปอร์ตก็ปฏิเสธธุรกิจไม่ได้? </font></p><p><font size="3"><b>“มอเตอร์สปอร์ตกับธุรกิจเป็นของคู่กัน คือถ้าไม่มีเงินคุณก็ไม่สามารถเล่นรถแข่งได้ ถ้าอยากแข่งต่อก็ต้องมองหาผู้สนับสนุน เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุนรอนสูง และต้องอิงกับหลายฝ่าย ทั้งในแง่ธุรกิจและเทคนิค ทุกอย่างจึงเกี่ยวข้องเป็นลูกโซ่ แต่โดยรวมแล้วผมก็ยังมองว่ามันยังมีโอกาสที่จะไปได้ไกลอีกเยอะ”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“อย่างไรก็ตามผมก็ยังมองว่าในปัจจุบัน วงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเราเริ่มกลับมาสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง เนื่องจากมีโปรโมเตอร์ที่ดี มีนักแข่งที่ให้ความสนใจและให้ความร่วมมือ โดยการเคารพกฏเกณฑ์ ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติของนักแข่งที่ดี และที่สำคัญทุกฝ่ายมีความร่วมมือกัน”</b></font></p><p><font size="3"><b><br /></b></font></p><p><font size="3"><b>“ผมมองว่าผู้จัดการแข่งขันควรปรับรูปแบบการแข่งขันให้เข้ากับสภาพของวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย และต้องมีกฎ กติกาเดียวกันในแบบสากล เราไม่ได้มองแค่ขั้นพื้นฐาน ผู้จัดต้องเด็ดขาด บทลงโทษต้องรุนแรง ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก มันจะทำให้กฎ กติกามีความศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญต้องมีองค์กรที่มีความรับผิดชอบในด้านนี้ ไม่ใช่ตั้งไว้เพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">นอกจากเป็นนักแข่งระดับแชมป์ การเป็นเทรนเนอร์ถือเป็นอีกบทบาทของเขา <b>“มันสืบเนื่องมาจากการถูกเรียกร้องจากพี่น้องในวงการ คิดว่าเราน่าจะสามารถให้ความรู้กับพวกเขาได้ ผมจะบอกกับเขาได้เลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ผู้เข้าฝึกอบรมตามจุดประสงค์ของเขาเอง ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมจะทำให้เขาเก่งที่สุด แต่จะให้ความรู้กับเขาให้มากที่สุด มันเป็นการมอบทักษะตั้งแต่เบื้องต้นในการขับรถที่ถูกต้อง”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">กับชีวิตที่เข้มข้นบนเส้นทางสายความเร็ว ณัฐวุฒิ ได้ข้อคิดหลายอย่างจากการเป็นนักแข่ง </font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3"><b>“มันยิ่งกว่าเข้มข้น เพราะต้องแลกด้วยเลือด ด้วยน้ำตา ผมทุ่มเทกับสิ่งที่ผมทำ แน่นอนว่าจะต้องมีความผูกพัน แต่ผมจะไม่จับอะไรหลายอย่างพร้อมกัน อย่างผมเลิกแข่งมอเตอร์ไซค์ก็จะไม่กลับไปแข่งอีก จะพยายามทำสิ่งที่ต่อเนื่องกันให้ดีที่สุด”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ก่อนจากกัน ณัฐวุฒิ ฝากถึงน้องๆ ในวงการ “ผมมองว่าเป็นกีฬาที่อันตราย ต้องมีความรับผิดชอบ เป็นกีฬาของลูกผู้ชายที่ต้องมีหัวใจเป็นนักกีฬา ในสนามแข่งถ้าไม่รู้จักคำว่าสปิริต คุณอาจสร้างหายนะให้ทั้งตนเองและผู้อื่น” </font></p><p><font size="3"><b><br /></b></font></p><p><font size="3"><b>“การจะยืนหยัดในวงการอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องมีระเบียบวินัยให้ตนเอง ถ้ายังรักที่จะทำงานตรงนี้ก็ต้องพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ ถ้าคำตอบคือใช่ก็ลุยต่อ แต่ต้องลุยอย่างมีสติและมุ่งมั่น”</b></font></p><p><font size="3"><br /></font></p><p><font size="3">ด้วยประสบการณ์ที่ถูกเคี่ยวจนข้นมากว่า 32 ปี ในวงการมอเตอร์สปอร์ต สามารถบอกกับรุ่นน้องได้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นแนวทางของนักแข่งที่ถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างของนักแข่งรุ่นใหม่ เป็นเส้นทางที่ยังไม่หยุดนิ่งบนโลกมอเตอร์สปอร์ตของลูกผู้ชายชื่อ <b><span style="color: Orange">“ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ”</span></b></font>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="DUKE_68, post: 1358996, member: 33494"][B][COLOR="Yellow"]จาก : [/COLOR][/B][url]http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/yuadyan/detail.asp?Detail_Id=5113&Column_Name=Motorsport[/url] [img]http://www.grandprixgroup.com/image_front/5113.jpg[/img] [SIZE="5"][COLOR="Orange"][B]ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะจิตวิญญาณคนแข่งรถ[/B][/COLOR][/SIZE] [SIZE="3"]หากให้กล่าวถึงนักแข่งไทยที่ยืนหยัดในวงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเรามาอย่างยาวนาน ด้วยมาตรฐานที่ไม่ได้ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย “ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ” น่าจะเป็นนักแข่งไทยคนหนึ่งที่ถือได้ว่า เป็นตำนานแห่งวงการแข่งรถของไทย ยวดยานมอเตอร์สปอร์ต ถือโอกาสนี้เปิดอกลูกผู้ชายคนนี้กับหลากประสบการณ์ หลายความรู้สึกบนเส้นทางสายมอเตอร์สปอร์ต ที่เขาเลือกเดินมาแล้วกว่า 32 ปี ณัฐวุฒิ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเขาในเส้นทางสายมอเตอร์สปอร์ตว่า [B]“เนื่องจากครอบครัวให้ความสนใจเรื่องรถ และมีโอกาสคลุกคลีกับรุ่นพี่ซึ่งชอบความเร็ว ทำให้เกิดความอยากลองขึ้นมา เพราะมีแรงบันดาลใจจากคุณพ่อซึ่งชอบรถแข่ง มันเป็นเรื่องของสายเลือด เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น”[/B] [B]“ผมเริ่มต้นในฐานะนักแข่งโมโตครอส ด้วยวัยเพียง 13 ปี ระหว่างนั้นก็ฝึกงานในร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ไปด้วย เพราะมองว่านี่คือ พื้นฐานที่จะทำให้เข้าใจในตัวรถมากขึ้น ตอนนั้นกีฬาแข่งรถเป็นเรื่องของความอยาก เป็นกีฬาที่ท้าทายความเป็นลูกผู้ชาย” [/B] จากความหลงไหล กลายเป็นความมุ่งมั่น ที่จะก้าวสู่ความท้าทายใหม่ ทำให้ “ณัฐวุฒิ” เข้าใจการแข่งรถและตัวรถอย่างถ่องแท้ [B]“ตลอดชีวิตนักแข่ง ผมผ่านการดีใจ เสียใจ เจ็บตัว รู้สึกท้อแท้ เบื่อ อยากเลิก มันมีทุกความรู้สึก ความเสียหาย ความพ่ายแพ้ รวมถึงชัยชนะ ทุกอย่างมันหล่อหลอมจนทำให้เราแข็งแกร่ง” [/B] [B]“ผมเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่การหาของ จากไม่เป็น ไม่รู้เรื่อง ทำจนเป็น นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มา ทำให้เราเข้าใจหลักต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวรถโดยถ่องแท้ ต่างจากเด็กสมัยใหม่ที่มีเงินก้อนหนึ่งแล้วอยากแข่ง ก็หว่านเงินซื้อของ การทำอย่างนี้มันไม่ได้อะไร ตรงกันข้ามหากเราเข้าใจระบบ เราจะสามารถบอกช่างได้ว่าอาการรถเป็นอย่างไร ควรแก้ไขตรงไหน ความเข้าใจจุดนี้สำคัญต่อการเป็นนักแข่งมาก”[/B] ณัฐวุฒิ ผ่านสังเวียนแข่งรถมานับไม่ถ้วน ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแข่งด้วยการแข่งขันแบบ 2 ล้อวิบากกว่า 15 ปี และมอเตอร์ไซค์ทางเรียบอีกกว่า 6 ปี ก่อนตัดสินใจทิ้งอานมอเตอร์ไซค์ มาสู่เกมมอเตอร์สปอร์ต 4 ล้อ ซึ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น [B] “พออายุเริ่มมากขึ้น เจ็บตัวมากขึ้น จึงเริ่มคิดว่าควรหาอะไรที่ปลอดภัยเพื่อมารองรับตัวเอง และที่สำคัญผมเริ่มอิ่มตัวกับการแข่งมอเตอร์ไซค์ นี่เป็นเหตุผล 2 ข้อหลักๆ ที่หันมาสู่การแข่งขันรถยนต์แทน จาก 2 ล้อ สู่ 4 ล้อ ต้องอาศัยการเรียนรู้ ต้องหมั่นศึกษา ผมเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หากมีอะไรที่จะพัฒนาฝีมือการขับรถของเราได้ ผมก็จะเรียนรู้มันเพื่อความสำเร็จ เพราะโลกมันไม่เคยหยุด ถ้าเราหยุดก็เท่ากับต้องเดินตามหลัง” [/B] ความรู้สึกของ “ณัฐวุฒิ” ในสนามแข่งเป็นอย่างไร ลองตามไปดูกัน [B]“ในสนามแข่งเราต้องมีสติ ต้องรู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ก็เคยมีบางครั้งที่กลั้นไม่อยู่เพราะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่การระเบิดออกมามันไม่ได้มีผลดี เราต้องรู้หน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ นั่นคือการอยู่ในเกมที่ขาวสะอาด” [/B] [B]“ที่สำคัญต้องรู้ขีดความสามารถของตัวเอง การจะทำอะไรทุกอย่างไม่ควรทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ควรเผื่อโอกาสพลาดไว้บ้าง เลือกใช้จังหวะและโอกาสให้เหมาะสม”[/B] ณัฐวุฒิ ไม่ปฏิเสธว่าเขาโหยหาชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ภารกิจส่วนใหญ่อยู่กับมอเตอร์สปอร์ต กับคนใกล้ชิดซึ่งต้องทำความเข้าใจ เขาก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี [B]“ถือเป็นชีวิตคนละแบบ เวลาที่เคยมีก็ต้องเอามาให้รถ เหนื่อย แต่จะพยายามแบ่งเวลาให้ลงตัวมากที่สุด ผมมีครอบครัว มีลูก และอยากให้ลูกเป็นคนดี มีความรับผิดชอบในตัวเอง และจะสอนเขาว่าต้องอยู่ในสังคมด้วยตัวเองให้ได้”[/B] [B]“ผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงจากคนรอบกาย ครั้งหนึ่งแม่มายืนข้างเตียงผ่าตัด เพราะขาหัก ท่านอยากให้เลิก แต่ไม่เคยห้าม เพราะรู้ว่าผมเป็นคนมุ่งมั่น ส่วนกับภรรยาเราก็มีการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เราทำ เมื่อผมชอบผมรักอาชีพนี้ และผมพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่าผมทำได้” [/B] แม้จะผูกพันกับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาทั้งชีวิต แต่บางมุม “ณัฐวุฒิ” ก็เคยหมดไฟ[B] “มันจะมาเป็นช่วงๆ มันเกิดขึ้นจากความเบื่อ ความท้อแท้ เมื่อทำไม่ได้อย่างที่ตั้งความหวังไว้ ความรู้สึกเหล่านั้นจะก่อตัว” [/B] [B]“ถ้าถามว่าจะเลิกตอนไหน ก็ต่อเมื่อไม่มีใครจ้างให้แข่งแล้ว ตอนนั้นแหละถึงจะเลิก”[/B] [B]“ผมเคยเข้าสู่จุดอิ่มตัวกับสิ่งที่ทำ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นแก่นสารจริงๆ แต่เมื่อมีอะไรมาจุดไฟให้ติด มันก็พร้อมที่จะลุกโชนขึ้นอีกครั้ง อาชีพนักแข่งมันคือสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันเป็นเรื่องท้าทายที่จะรักษาระดับความสามารถของตนเองให้ความคงเส้นคงวาได้ตลอด”[/B] ทุกครั้งที่ท้อแท้ มีทางออกอย่างไร [B]“ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าหมดไฟ การถอยหลังออกมาถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าว่างจากการแข่งรถจะเล่นกีฬา ผมชอบอยู่กับบ้านเพราะเบื่อการเดินทาง ให้รู้สึกผ่อนคลายเพื่อรักษาความบอบช้ำจากสิ่งที่ได้เจอมาต้องพักผ่อนเพื่อชาร์ตแบตแล้วกลับไปลุยกับมันต่อ”[/B] หลากหลายความรู้สึกที่ ณัฐวุฒิ ได้สัมผัสตลอดอาชีพนักแข่ง หลายครั้งที่ท้อจนคิดเลิก หลายครั้งที่ผิดหวังจนหมดไฟ แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ในวงการที่เชี่ยวกราก [B]“ผมคิดเสมอว่าแม้จะมีพร้อมทั้งฝีมือ ทุน ผู้สนับสนุน ทีมแข่งที่ดี แต่ถ้าขาดความเป็นมืออาชีพก็ไม่สามารถจะเป็นนักแข่งที่ดีได้ ซึ่งมันจะส่งผลถึงอาชีพของคุณเพราะถ้าคุณไม่สามารถรักษามาตรฐานการขับได้ ถ้าคุณไม่มีวินัยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาก็ไม่จ้างคุณ”[/B] กว่า 32 ปี ในสังเวียนความเร็ว ถ้วยรางวัลนับไม่ถ้วนบ่งบอกได้ถึงความสำเร็จ ไม่เคยมีวันไหนที่ “ณัฐวุฒิ” หลงไหลกับสิ่งเหล่านั้น [B]“ผมทำเพราะสนุกกับมัน รักมัน และจะทำจนกว่าจะไม่ไหว วันนั้นถึงจะเลิก วงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเราค่อนข้างฉาบฉวย ต้องดิ้นรนต่อสู้หากอยากอยู่ในวงการ ความสำเร็จคือการต่อลมหายใจให้อยู่ในอาชีพในปีต่อๆ ไป ผมเปรียบอาชีพนักแข่งเหมือนหมาล่าเนื้อตัวหนึ่งที่หากยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ ก็ยังมีประโยชน์กับนายพราน”[/B] มองวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยอย่างไร? [B]“แต่ละยุคจะมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป ยุคแรกๆ จะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นน่าค้นหา เป็นแบบลูกทุ่งๆ เนื่องจากมีการจัดแข่งทั่วประเทศ ทำให้มีแรงกระตุ้นในการแข่ง แต่พอมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสนุกของกีฬาก็หมดไป และแทนที่ด้วยผลประโยชน์ ซึ่งแต่ละคนล้วนอยากมี อยากได้ ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว”[/B] แต่มอเตอร์สปอร์ตก็ปฏิเสธธุรกิจไม่ได้? [B]“มอเตอร์สปอร์ตกับธุรกิจเป็นของคู่กัน คือถ้าไม่มีเงินคุณก็ไม่สามารถเล่นรถแข่งได้ ถ้าอยากแข่งต่อก็ต้องมองหาผู้สนับสนุน เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุนรอนสูง และต้องอิงกับหลายฝ่าย ทั้งในแง่ธุรกิจและเทคนิค ทุกอย่างจึงเกี่ยวข้องเป็นลูกโซ่ แต่โดยรวมแล้วผมก็ยังมองว่ามันยังมีโอกาสที่จะไปได้ไกลอีกเยอะ”[/B] [B]“อย่างไรก็ตามผมก็ยังมองว่าในปัจจุบัน วงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเราเริ่มกลับมาสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง เนื่องจากมีโปรโมเตอร์ที่ดี มีนักแข่งที่ให้ความสนใจและให้ความร่วมมือ โดยการเคารพกฏเกณฑ์ ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติของนักแข่งที่ดี และที่สำคัญทุกฝ่ายมีความร่วมมือกัน”[/B] [B] “ผมมองว่าผู้จัดการแข่งขันควรปรับรูปแบบการแข่งขันให้เข้ากับสภาพของวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย และต้องมีกฎ กติกาเดียวกันในแบบสากล เราไม่ได้มองแค่ขั้นพื้นฐาน ผู้จัดต้องเด็ดขาด บทลงโทษต้องรุนแรง ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก มันจะทำให้กฎ กติกามีความศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญต้องมีองค์กรที่มีความรับผิดชอบในด้านนี้ ไม่ใช่ตั้งไว้เพื่อผลประโยชน์อย่างเดียว”[/B] นอกจากเป็นนักแข่งระดับแชมป์ การเป็นเทรนเนอร์ถือเป็นอีกบทบาทของเขา [B]“มันสืบเนื่องมาจากการถูกเรียกร้องจากพี่น้องในวงการ คิดว่าเราน่าจะสามารถให้ความรู้กับพวกเขาได้ ผมจะบอกกับเขาได้เลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ผู้เข้าฝึกอบรมตามจุดประสงค์ของเขาเอง ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมจะทำให้เขาเก่งที่สุด แต่จะให้ความรู้กับเขาให้มากที่สุด มันเป็นการมอบทักษะตั้งแต่เบื้องต้นในการขับรถที่ถูกต้อง”[/B] กับชีวิตที่เข้มข้นบนเส้นทางสายความเร็ว ณัฐวุฒิ ได้ข้อคิดหลายอย่างจากการเป็นนักแข่ง [B]“มันยิ่งกว่าเข้มข้น เพราะต้องแลกด้วยเลือด ด้วยน้ำตา ผมทุ่มเทกับสิ่งที่ผมทำ แน่นอนว่าจะต้องมีความผูกพัน แต่ผมจะไม่จับอะไรหลายอย่างพร้อมกัน อย่างผมเลิกแข่งมอเตอร์ไซค์ก็จะไม่กลับไปแข่งอีก จะพยายามทำสิ่งที่ต่อเนื่องกันให้ดีที่สุด”[/B] ก่อนจากกัน ณัฐวุฒิ ฝากถึงน้องๆ ในวงการ “ผมมองว่าเป็นกีฬาที่อันตราย ต้องมีความรับผิดชอบ เป็นกีฬาของลูกผู้ชายที่ต้องมีหัวใจเป็นนักกีฬา ในสนามแข่งถ้าไม่รู้จักคำว่าสปิริต คุณอาจสร้างหายนะให้ทั้งตนเองและผู้อื่น” [B] “การจะยืนหยัดในวงการอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องมีระเบียบวินัยให้ตนเอง ถ้ายังรักที่จะทำงานตรงนี้ก็ต้องพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ ถ้าคำตอบคือใช่ก็ลุยต่อ แต่ต้องลุยอย่างมีสติและมุ่งมั่น”[/B] ด้วยประสบการณ์ที่ถูกเคี่ยวจนข้นมากว่า 32 ปี ในวงการมอเตอร์สปอร์ต สามารถบอกกับรุ่นน้องได้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นแนวทางของนักแข่งที่ถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างของนักแข่งรุ่นใหม่ เป็นเส้นทางที่ยังไม่หยุดนิ่งบนโลกมอเตอร์สปอร์ตของลูกผู้ชายชื่อ [B][COLOR="Orange"]“ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ”[/COLOR][/B][/SIZE][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
RacingWeb Community
>
Motorsport Forum
>
Circuit Racing
>
ผลการจัดอันดับ XO Time Attack 2009 ออกมาแล้ว เร็วที่สุดในปีนี้ 1:00:554 นาที
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...